ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในงานสถาปัตยกรรมไทย ได้มีงานวิจัยที่ทำการศึกษาไว้ค่อนข้างละเอียดเมื่อปี พ.ศ.2565 ที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพูดถึงแต่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปลักษณ์แต่เพียงประการเดียว โดยผู้เขียนได้มีโอกาสได้รับการสัมภาษณ์โดยทีมวิจัยกลุ่มนั้น เพื่อเก็บข้อมูลในฐานะผู้ทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย และสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยในศาสตร์ด้านนี้โดยตรง จึงขอยกข้อมูลสังเขปบางส่วนมาแสดงในที่นี้
จากงานวิจัยเรื่อง อนาคตศาสตร์ : พุทธศิลปสถาปัตยกรรมในอนาคต[1] เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องกับงานออกแบบและงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทย โดยกล่าวถึงพัฒนาการนับแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ส่วนสำคัญของงานวิจัย คือการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปข้างหน้าด้วย ในส่วนของปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในงานพุทธสถาปัตยกรรมนั้น มีดังนี้
(//รายละเอียดสามารถหาอ่านได้จากหนังสือที่อ้างอิงซึ่งมีเป็นเอกสารออนไลน์ตามลิงค์นี้ https://sure.su.ac.th/xmlui/handle/123456789/23261?attempt=2& //)
ปัจจัยภายนอก
- อำนาจปกครอง
- อิทธิพลจากต่างอาณาจักร ต่างเมือง ต่างแดน
- เทคโนโลยีการก่อสร้างและวัสดุ
- เศรษฐกิจ
- สังคม
ปัจจัยภายใน
- องค์ความรู้ (Knowledge)
- ภูมิปัญญาช่าง
- วัสดุ
- ช่างและสถาปนิก
- ฝีมือช่างและทักษะของช่าง (Workman Ship & Skills)
- ภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landscape)
- คติความคิดความเชื่อ (Beliefs & Ideology)
ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในจากการวิเคราะห์ปัจจุบัน (เพื่อคาดการณ์สู่อนาคต)
- สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน (Economy)
- ช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) (ความคิดของคนแต่ละรุ่นต่างกันตามประสบการณ์-ผู้เขียน)
- นวัตกรรม (Innovation) และเทคโนโลยี (Technology)
- สภาพแวดล้อม (Environment)
- แนวคิดพุทธศาสนาเฉพาะกลุ่ม (ภายหลังนอกมีการตีความพระพุทธศาสนาแยกออกไปเฉพาะผู้สอน-ผู้เขียน)
- ความเชื่อและศรัทธา (มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน และอาจหลากหลายมากขึ้นในอนาคต-ผู้เขียน)
- สังคมปัจจุบัน
- ขั้วอำนาจทางการเมือง
- ความยั่งยืน (Sustainability)
- อำนาจการจัดการและบริหารวัด (Management)
- ปรัชญาการออกแบบ
- การสืบทอดองค์ความรู้
โดยสามารถสรุปข้อมูลข้างต้นเป็นภาพกราฟฟิคได้ดังนี้


ภาพ : กราฟฟิคแสดงปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตของงานสถาปัตยกรรมไทย
ที่มาภาพ : อนาคตศาสตร์ : พุทธศิลปะสถาปัตยกรรมในอนาคต ,วนิดา พึ่งสุนทร และรสิตา สินเอกเอี่ยม ,2565, หน้า 178-179.
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลต่องานสถาปัตยกรรมไทย ในกลุ่มงานพุทธสถาปัตยกรรม ในศาสนสถาน เฉพาะวัดวาอารามมาโดยตลอด โดยมีผลต่อทั้งการออกแบบวางผัง รูปแบบอาคาร การก่อสร้างและงานศิลปกรรม แต่ทั้งนี้ไม่ว่ากายภาพทางการออกแบบงานพุทธสถาปัตยกรรมจะแตกต่างกันไปอย่างไรในแต่ละยุคสมัย งานชนิดนี้ที่ได้รับการออกแบบสร้างสรรค์ที่ผ่านมา ก็ยังคงตั้งอยู่บนฐานแห่งการออกแบบเพื่อส่งเสริมศรัทธา และแสดงออกซึ่งการเคารพบูชาต่อพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ อีกทั้งงานสถาปัตยกรรมไทย ก็เป็นงานที่วิวัฒน์ได้ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจ ความเจริญ ทั้งเทคนิควิธีทางการก่อสร้าง และวัสดุ ซึ่งมักจะได้รับการพัฒนาในแต่ละช่วงเวลามาโดยลำดับ
ข้อมูลจากงานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า สถาปนิกผู้ออกแบบ มีส่วนสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดงานสถาปัตยกรรมไทย โดยเฉพาะงานพุทธสถาปัตยกรรมในแบบเฉพาะตัว ตามทัศนคติ มุมมอง ความคิด ที่มีต่อทั้งตัวงานและสังคม ซึ่งสถาปนิกที่มีความรู้ในมรดกทางสถาปัตยกรรมไทย หรือสถาปัตกรรมพื้นถิ่นก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจต่อการออกแบบสร้างสรรค์ และพัฒนาการที่จะเกิดขึ้นต่อไปไว้ด้วย อาทิ รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ ได้เคยให้ข้อมูลไว้ว่าสถาปัตยกรรมไทยต้องคำนึงถึงกฏระเบียบของท้องถิ่น ประโยชน์ใช้สอย วัสดุที่หาง่าย และแข็งแรงทนทาน งานของท่านจึงรักษาแบบแผนทางการออกแบบและมีเอกลักษณ์เป็นแบบเฉพาะตัว พัฒนาการในงานจึงเป็นการเลือกใช้วัสดุสมัยใหม่เข้ามารับใช้การออกแบบตามแบบแผนประเพณีเดิมให้คงอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรงสืบไป
รศ.วิวัฒน์ เตมียภัณฑ์ ให้ความคิดเห็นไว้ว่า ต้องเห็นคุณค่าของมรดกองค์ความรู้เดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับความรู้สมัยใหม่เข้ามาผสานกัน เป็นการเรียนรู้ของเดิม ร่วมกับของใหม่ สถาปนิกต้องเข้าใจบริบทของท้องถิ่น ต้องเห็นคุณค่าของอดีต เรียนรู้ประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อประยุกต์เข้ากับความเป็นสากล จะเห็นว่าอาจารย์มองภาพของพัฒนาการของการออกแบบของสถาปนิกและพัฒนาการของงานในไปในแนวทางที่สืบสานต่อยอด ให้เกิดการประยุกต์โดยไม่ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของไทย

ภาพ : รศ.วิวัฒน์ เตมียพันธุ์ อาจาร์ นักวิชการ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น
ที่มาภาพ : เพจ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ (ASA)
แนวทางการออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยในงานวิจัยดังกล่าว ชี้ว่าแนวโน้มในการสร้างสรรค์จะเป็นไปในสองแนวทาง คือ
- สถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี หรือสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัดในอดีต
- งานสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ที่มีรูปแบบทางกายภาพอย่างอิสระในการออกแบบ โดยมีความโดดเด่นในแบบเฉพาะและไม่มีแบบแผนตายตัว
ซึ่งในแนวทางที่สองนั้นผู้เขียนเองคิดว่าจะต้องมีความระมัดระวังในการออกแบบอย่างมาก เพราะหากผู้ออกแบบไม่มีฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือศิลปสถาปัตยกรรมไทยอย่างเพียงพอ ก็อาจทำให้งานออกแบบไม่สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นได้ แม้ว่าจะไม่ผิดหลักทางการก่อสร้าง แต่อาจกระทบต่อศาสตร์วิชาการของงานประเภทนี้ได้ พัฒนาการของงานสถาปัตยกรรมไทยในปัจจุบันประเภทนี้ ผู้เขียนจะขอยกมาศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในงานสถาปัตยกรรมไทยประเภท มณฑป ซึ่งเป็นอาคารที่กล่าวได้ว่าเป็นงานที่มีฐานานุศักดิ์ในตัวงานอย่างชัดเจน และเป็นการศึกษาเพื่อหาข้อมูลรับรองผลงานชิ้นหนึ่งที่ได้เสนอต่อสภาสถาปนิก(เพื่อขอเลื่อนขั้นเป็นสามัญสถาปนิก) ซึ่งเป็นมณฑปยอดเจดีย์ที่ผู้เขียนได้ออกแบบไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจทางวิชาการและความถูกต้องในทางวิชาชีพที่ตรงกัน ทั้งตัวผู้ออกแบบและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้โอกาสในการทำการศึกษาครั้งนี้
ผู้เขียนเองได้ทำงานในวิชาชีพสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยเป็นหลัก เพื่อสืบสานซึ่งมรดกอันสำคัญแขนงหนึ่งของชาติ และอีกส่วนหนึ่งได้ทำงานสอนในสาขาวิชาสถาปัตยกรรมไทยโดยตรง ให้แก่สถาบันการศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนในสาขาสถาปัตยกรรมไทย ให้แก่นักศึกษาในหลักสูตรสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยเห็นว่าแนวคิดในปัจจุบันของการเรียนการสอน เปิดโอกาสให้สามารถเสนอความคิดทางการออกแบบให้แตกหน่อต่อยอดออกไปจากแบบแผนประเพณีนิยมเดิมได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ภายใต้การกำกับดูแลของคณาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิในหลักสูตร คือ อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ , รศ.ฤทัย ใจจงรัก ศิลปินแห่งชาติ และ อ.ดร.ประเวศ ลิมปรังษี ศิลปินแห่งชาติ (อ.ประเวศ ได้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว), ศ.สมคิด จิระทัศนกุล รวมถึงผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนรากฐานแห่งศาสตร์และศิลป์ของสาขาวิชาสถาปัตยกรรมไทย นั่นคือยังมีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของอาคารที่ทำการออกแบบแต่ละชนิด เข้าใจฐานานุศักดิ์ของอาคารว่าจะสามารถออกแบบอย่างไรมิให้ผิดหลักแห่งวิชาการ และให้ความเคารพต่อระดับชั้นของงานที่มีตามแบบแผนได้โดยไม่ผิดเพี้ยน หรือแม้กระทั่งความเข้าใจผิดว่าไม่สามารถออกแบบงานในลักษณะนี้ได้ ด้วยคิดว่าเป็นงานที่ออกแบบได้เฉพาะในสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น หากไม่เข้าใจในสองส่วนดังกล่าวนี้ ว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ จะทำให้เกิดปัญหาในการออกแบบคลาดเคลื่อนไปได้ และนานวันเข้าสิ่งผิดก็อาจกลายเป็นสิ่งถูกตามความรู้สึก ซึ่งแท้จริงแล้วไม่สามารถอาศัยความรู้สึกตัดสินได้ แต่ต้องอาศัยหลักความจริง ตามเหตุผล องค์ความรู้ในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทย และคติแบบแผนทางการออกแบบในงานสถาปัตยกรรมไทยมาเป็นตัวชี้วัดเป็นสำคัญ
[1] วนิดา พึ่งสุนทร และ รสิตา สินเอกเอี่ยม , อนาคตศาสตร์ : พุทธศิลปะสถาปัตยกรรมในอนาคต (กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์แพริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน), 2565.
ข้อมูล : ประกิจ ลัคนผจง
ข้อมูลข้างต้น นำมาจากการทำรายงานเพิ่มเติม จากการส่งผลงานออกแบบเพื่อขอเลื่อนระดับวิชาชีพสถาปนิกจากชั้นภาคีไปเป็นชั้นสามัญ โดยยื่นเรื่องเสนอต่อสภาสถาปนิก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ได้รับการสอบสัมภาษณ์เดือนธันวาคม พ.ศ.2565 (สภาสถาปนิกให้ทำรายงานประกอบผลงานเพิ่มเติม ส่งรายงานครั้งแรก เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 มีการขอให้แก้ไขรายงานและส่งใหม่อีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ.2567) ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้นพฤษภาคม พ.ศ.2567 และรับใบอนุญาต สิงหาคม พ.ศ.2567
TAG: