บริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีกลาง (Main Stage) ในงานสถาปนิก 2568 ที่ Impact Challenger เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 บนเวทีของ “เรื่องเล่า 3 รุ่น” เพื่อนำเสนอข้อมูลการทำงานของ “สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย” เพื่อให้สาธารณชนทราบว่า สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยเป็นใคร มีทักษะสำคัญอย่างไร ที่สนับสนุนการทำงานให้ลุล่วงสมบูรณ์ได้ และลิขสิทธิ์แห่งการเป็นผู้ออกแบบพิจารณาอย่างไร โดยมีผู้เขียน (ประกิจ ลัคนผจง) เป็นผู้ให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกันกับผู้ฟัง และในวันนั้นได้เชิญ สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยอีกสองท่านมาร่วมให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม คือ อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคุณประพลทัศน์ พงศ์ฤทธิพร จากบริษัท วันเพ็ญสตูดิโอ จำกัด เพื่อให้เป็นการพูดคุยระหว่างรุ่นอาจารย์ และรุ่นน้อง ซึ่งมีการทำงานที่ทำให้เห็นภาพของงานสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม โดยมี อ. กอล์ฟ ถวัลย์ วงษ์สวรรค์ เป็นพิธีกรเวที และมีคุณพนิดา จันทร์วีนุกูล และ คุณอิษฏ์ ลี้เจริญ สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยที่มีส่วนช่วยงานของทางบริษัท ดังปรากฏในสไลด์นำเสนอ มาร่วมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ฟังในวันนั้นด้วย
ทั้งนี้ต้องขอบคุณ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำหรับกิจกรรมดีๆนี้ รวมถึงประธานจัดงาน คุณธันว์ ศรีจันทร์ และคุณพิเศษ จันทนีย์ กรรมการจัดงาน เรื่องเล่าสามรุ่น และทีมงานทุกท่านที่อำนวยความสะดวกและประสานงานมายังบริษัท มา ณ โอกาสนี้
(ภาพประกอบเนื้อหาจาก สไลด์ประกอบการบรรยายในงาน)


โดยมีเนื้อหานำเสนอในงานเป็น 7 ลำดับเรื่องตามภาพด้านล่างนี้

ในที่นี้ขอยกบางส่วนมาสรุปเป็นข้อมูล โดยเริ่มจาก Mini Classroom ซึ่งเป็นบทแรกที่เกริ่นให้ผู้ฟังเข้าใจถึงการทำงานของสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย โดยผู้เขียนได้แนะนำประวัติการศึกษาและการเรียนรู้อันเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานในปัจจุบัน ซึ่งงานช่างไทยทุกแขนงจะต้องมีครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ต่างๆ งานสถาปัตยกรรมไทยก็เช่นเดียวกัน โดยการศึกษาเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมเป็นฐานสำคัญของการเรียนสถาปัตยกรรมไทย เพราะสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย ต้องมีความเข้าใจใน Fundamental of Architectural Design ซึ่งเริ่มต้นจาก จุด เส้น ระนาบ ปริมาตร มวล ที่ว่าง ฯลฯ ผสานกับหลักวิชาต่างๆ อีกมาก โดยเฉพาะความรู้ทางวิศวกรรมและการก่อสร้าง ซึ่งต้องอาศัยครูอาจารย์ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เป็นผู้วางรากฐานเหล่านี้ให้ จากนั้นจะต้องฝึกทักษะงานเขียนไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการสื่อสารความคิดของผู้ออกแบบไปสู่เจ้าของงานและช่างที่ทำงานก่อสร้าง ทั้งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนในทักษะส่วนนี้อย่างมาก เนื่องจากต้องอาศัยระยะเวลานาน และการเรียนและฝึกฝนแต่เฉพาะในห้องเรียนย่อมไม่เพียงพอ





งานสถาปัตยกรรมไทย เป็นศาสตร์ศิลป์ที่สำคัญ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแขนงหนึ่งของชาติ มีบทบาทหน้าที่ และกระบวนการสร้างสรรค์งานช่างแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทงานช่าง องค์ความรู้นี้ ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “ศิลปกรรมการช่างวัดอรุณราชวราราม” หนังสือชุดอัศจรรย์วัดอรุณ ในลำดับที่ 3 (มีทั้งหมด 4 เล่มในชุด) ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดได้ในเล่ม ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ ศ.สมคิด จิระทัศกุล อย่างยิ่งที่ให้โอกาสในการร่วมเขียนข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ และขอบคุณอาคเนย์ ภายใต้บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้จัดทำหนังสือชุดดังกล่าว

ทั้งนี้หนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับ อ.วนิดา พึ่งสุทร ศิลปินแห่งชาติ ร่วมกับประสบการณ์ในการช่วยงานอาจารย์มาเป็นระยะเวลายาวนาน จึงนำมาสู่ข้อมูลในหนังสือ สานสร้างทางไทย หนังสือปาฐกถาศิลป์พีระศรี ครั้งที่ 26 ประจำปี 2564 ซึ่งให้ภาพรวมแห่งการทำงานและองค์ความรู้ รวมถึงกระบวนการทำงานของ สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยอย่างครบถ้วน นับเป็นสังเขปความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่ง ที่ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ซึ่งไม่มีจำหน่าย เป็นสูจิบัตรแจกในงานเท่านั้น จึงอาจมีหาอ่านได้ตามห้องสมุดสำคัญ

การทำงานสถาปัตยกรรมไทย ของสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย แตกต่างจากสถาปนิกทั่วไปตรงที่ จะต้องใช้ลายมือของตนเป็นสำคัญในการทำงานตลอดทั้งกระบวนการ นับแต่การคิดออกแบบ ร่างแบบ วาดแบบ เขียนแบบ ขยายแบบ และตรวจคุมงานศิลปกรรมไปจนติดตั้งงาน เนื่องจากเป็นการทำงานของนักออกแบบและศิลปินในตัวคนเดียว งานสถาปัตยกรรมไทยแต่ละชิ้นของสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยแต่ละท่าน จึงไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะออกแบบอุโบสถเหมือนกัน แต่งานจะต่างไปตามแบบลายมือของแต่ละคน เหมือนกับการฝึกเขียน ก ไก่ ข ไข่ ที่เมื่อมาประสานรวมเป็นข้อความแล้ว อ่านได้ในความหมายเดียวกัน แต่ลายมือไม่เคยเหมือนกัน นี่จึงเป็นความยากของสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย ที่จะต้องได้รับการฝึกฝนลายมือ อันเริ่มจากงานช่างเขียน เพื่อให้สามารถเขียนลายไทยเบื้องต้น อันเป็นฐานสำคัญในการรองรับความคิดในกระบวนการออกแบบต่อไป
ผู้เขียนเอง ขณะที่สอนนักศึกษาในสาขาสถาปัตยกรรมไทย นักศึกษาที่ฝึกเขียนลายยังไม่ชำนาญมากพอ การออกแบบงานจำพวก วัดวาอาราม จึงเป็นปัญหาในการทำงานพอสมควร เนื่องจากคิดได้ แต่ไม่สามารถนำเสนอความคิดในหัว ออกมาเป็นรูปธรรมบนกระดาษได้ เนื่องจากทักษะทางช่างเขียนยังไม่แข็งแรงพอ บางคนถึงกับร้องไห้ท้อใจ จนต้องให้กำลังใจในการทำงานกันไป ซึ่งหากในที่สุดเมื่อฝึกทักษะงานช่างเขียนไทยไม่ได้มากพอ ปลายทางของการศึกษาก็อาจเลี่ยงไปทำงานสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยแทน โดยไม่มีการขอให้รุ่นพี่รุ่นน้องที่เขียนลายไทยได้มาทำให้ ด้วยต้องการรักษาความซื่อสัตย์ในการทำงาน ว่าผลงานดังกล่าวนั้นตนเป็นผู้ออกแบบโดยแท้จริง
เรื่องนี้ เราอาจเห็นกันในแวดวงวิชาชีพเช่นกัน ที่ครูอาจารย์ สถาปนิกที่มีชื่อเสียง หรือสถาปนิกรุ่นใหญ่ ทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย จำพวกวัดวาอาราม โดยที่ท่านเหล่านั้น ตัดสินใจไม่ทำงานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี แต่เลือกที่จะไปทำงานออกแบบเป็นสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย หรือพื้นถิ่นที่มีการเขียนลายไทยน้อยมากๆ โดยให้ความสำคัญกับงานออกแบบเชิงพื้นที่ ที่ว่าง และความหมายสำคัญแทน เข้าใจว่าเป็นการทำงานที่ท่านจะสามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าท่านได้ออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยเหล่านั้นด้วยตนเองอย่างแท้จริง
ทั้งนี้หากผู้ใดสนใจจะทำงานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี ก็จำเป็นต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานอันเป็นงานช่างเขียนไทยให้มาก ควบคู่ไปกับการเรียนแบบสถาปนิก จึงจะสามารถเขียนงานจากความคิดสู่มือได้โดยไม่ติดขัด ขอยืนยันว่าแม้ผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมไทยมาโดยตรงก็สามารถทำได้ โดยขอยกตัวอย่างจากผู้เขียนเอง ที่สำเร็จการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังในระดับปริญญาตรีมา และมาเรียนต่อในสาขาสถาปัตยกรรมไทยในระดับปริญญาโท ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ไม่สามารถเขียนแบบงานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีได้ถนัดนัก เฉพาะอย่างยิ่งตอนทำหัวข้อจบ คณาจารย์กรรมการสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ทุกท่านให้ความเห็นว่า ไม่ให้ทำงานจบเป็นวัดแบบประเพณี เนื่องจากไม่ได้เรียนมาทางด้านสถาปัตยกรรมไทยในระดับปริญญาตรี พื้นฐานทักษะไม่พร้อมให้ทำการออกแบบวัดแบบประเพณีได้ แม้ผู้เขียนจะท้อใจจากการพิจารณาของคณะกรรมการ แต่ไม่ท้อใจที่จะฝึกฝนเรียนรู้ให้เกิดทักษะที่ชำนาญมากขึ้น จึงได้ฝึกทำงานให้ครูอาจารย์ทั้ง อาจารย์ฤทัย อาจารย์ประเวศ และอาจารย์วนิดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ช่วยอาจารย์วนิดานั้น ทำการฝึกฝนเรียนรู้โดยตลอดสามปี จนในที่สุด ก็สามารถทำงานวิทยานิพนธ์ตัวจบเป็นวัดที่มีการเขียนลายได้ ผ่านไปได้ และทำให้คณาจารย์เห็นว่า ควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่มีความตั้งใจได้ลองทำ
เหตุการณ์กล่าวถึงข้างต้นเป็นต้นแบบให้ผู้เขียนใช้สอนนักศึกษามาโดยตลอด ว่าไม่ควรท้อใจ ทุกคนจะทำได้ แต่ต้องให้เวลาในการฝึกฝน อย่างตั้งมั่นและทุ่มเท และเมื่อเราได้ทักษะลายมือของงานช่างไทยมาแล้ว ก็จะนำไปสู่การทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีได้ อย่างน้อยก็ทำตามอย่างครูได้โดยไม่เสียหาย และถึงที่สุดแห่งการทำงานก็อาจจะได้มีโอกาสสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยดีๆ ฝากไว้แก่ประเทศชาติสืบไปได้ด้วย


สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย ที่เป็นผู้ออกแบบงานชิ้นนั้นๆ จะเขียนและวาดลายไทยต่างๆ ได้ต้้งแต่กระบวนการเส้นแรก ไปจนถึงเส้นสุดท้าย หากการทำงานเป็นทีม ก็จะต้องทำเช่นนั้น โดยผู้นำทีมจะเป็นผู้วาดแบบวาดลายนำทีมทำงานไป ตรวจแก้ไขเส้นสายลายมือต่างๆ ให้เข้ากระบวนการที่เป็นลายมือของผู้นำทีมนั้นๆ หากผู้นำทีมไม่สามารถเขียนลายไทยได้ก็ไม่อาจนับว่างานนั้นเป็นของตนได้ เปรียบเทียบกับร้านรับวาดรูป ที่มีเจ้าของร้านซึ่งอาจจะวาดภาพไม่เป็น แต่ลงทุนทำร้านแล้วจ้างจิตรกรมานั่งทำงานในร้าน การที่จิตรกรวาดภาพแล้วเสร็จ และลงลายเซ็นใต้ภาพ เป็นการบ่งบอกว่าศิลปินผู้วาดภาพคือใคร ซึ่งเจ้าของร้านที่วาดภาพจะไปเซ็นชื่อในภาพว่าตนได้กำกับให้พนักงานของตน วาดภาพนั้นๆ จะลงลายเซ็นว่าตนเป็นผู้สั่งการให้วาดภาพนั้นๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ลิขสิทธิ์แห่งความเป็นผู้ออกแบบย่อมตกแก่ลายมือของผู้วาดโดยสมบูรณ์ในตัว
สำหรับงานสถาปัตยกรรมไทย การออกแบบจะส่วนผสมของ งานช่างไทยร่วมกับงานสถาปัตยกรรม ลายมือที่กล่าวถึงข้างต้นจึงสำคัญ และเป็นตัวกำกับผลงานนั้นๆ ว่าใครเป็นผู้ออกแบบ หากหัวหน้าทีมไม่สามารถเขียนไทยได้ ลายมือและผลงานการออกแบบนั้นจะกลายเป็นลายมือของผู้ช่วย จึงมิใช่ลายมือของหัวหน้าทีมโดยแท้จริง นี้คือข้อต่างของการเป็นสถาปนิกโดยทั่วไป ที่อาจทำเพียงเสก็ตช์กำหนดแนวคิด และตรวจงาน ก็สามารถกำกับลายมือการออกแบบของผู้นำทีมได้แล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ลายมืออันเป็นการเฉพาะ ในขณะที่สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยทำเช่นนั้นไม่ได้ ระดับความสำคัญของงานออกแบบต้องอาศัยการเป็นนักออกแบบควบคู่กับเป็นศิลปินสูงเท่าๆกัน เส้นสายลายมือทางไทยที่ทำได้ จึงเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำคัญของการเป็น “สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย” และถือว่าการฝึกทักษะงานช่างเขียน(ไทย) เป็นฐานสำคัญของการทำงานทั้งหมด เพราะเป็นเสมือนภาษาที่ใช้สื่อสารความคิดไปสู่การออกแบบที่มีอัตลักษณ์เฉพาะคนไป




นอกจากนั้นแล้ว สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย จะต้องเป็นผู้ร่างแบบตั้งแต่เส้นแรก เขียนขยายแบบเท่าจริง หรือที่เรียกกันว่า แบบขยาย 1 : 1 ไปจนถึงเส้นสุดท้ายด้วย เพื่อกำกับลักษณะ จังหวะ สัดส่วน ทรวดทรง ของลาย ให้อยู่ในแนวคิด รูปแบบอันเป็นอัตลักษณ์ของผู้ออกแบบไปจนถึงที่สุดของกระบวนการทำงาน เพื่อทำให้งานออกแบบก่อสร้างชิ้นนั้น ปรากฏผลเป็นศาสตรศิลป์ ของผู้ออกแบบนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
อ.ประเวศ ลิมปรังษี ศิลปินแห่งชาติ ท่านได้เคยกล่าวไว้ในหลายวาระ หลายโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นเรียนที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยสอนในวิชาลายไทย ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรว่า… การทำงานสถาปัตยกรรมไทย ถ้าไม่เขียนถึง 1 ต่อ 1 อย่าทำเลย.. (เพราะมันจะเสียความเป็นลายมือของผู้ออกแบบ)


ลายมือ ที่มีจะนำไปบวกกับทักษะฝีมืออื่นๆ ที่ใช้เครื่องมือตั้งแต่แบบ แมนวล ไปจนถึงเครื่องมือที่ซับซ้อน แต่ทุกกระบวนการ จะต้องเริ่มนับหนึ่งจากทักษะงานช่างเขียน(ไทย) ก่อนเสมอ
เช่น การเขียนไทย ผนวกกับการทำพรีเซนเทชั่นสีน้ำ จากภาพตัวอย่าง เป็นการเขียนตีฟและลงสีน้ำของผู้เขียนในคราวช่วยงาน อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ ในงานของท่านหลายๆ ชิ้น (ภาพตัวอย่างงานบางส่วน)

แม้แต่การทำแบบสามมิติ ก็ต้องเริ่มจากร่างมือ ไปสู่การใช้เครื่องมือทำงาน เช่น การทำลายเส้นคอมพิวเตอร์(ตัวอย่างงานที่ผู้เขียนได้เคยช่วย อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ) โดยการทำงานกับสถาปนิกครูอาจารย์ จะเป็นการร่างให้อาจารย์ตรวจแก้ไข จนถูกต้องและได้ลักษณะศิลปกรรมตามต้นแบบที่ท่านได้ร่างนำไว้ก่อนแล้วจึงเข้าสู่กระบวนการทำงานโดยลำดับ จากลายมือ ลายเส้นคอมพิวเตอร์ และแบบสามมิติคอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำงานเป็นทีมดังกล่าวนี้หัวหน้าทีม (อ.วนิดา) จะเขียนแก้ให้อยู่ในลักษณะศิลปสถาปัตยกรรมไทยที่เป็นลายมือของท่านเองตั้งแต่ตั้ง จนกระทั่งสุดปลายทางงานขยายแบบศิลปสถาปัตยกรรม

ในบางครั้ง การร่างมือ เมื่อนำไปสู่เส้นคอมพิวเตอร์ และได้ภาพสามมิติแล้ว ก็อาจวนกลับมาสู่การแก้ไขงานมือ เพื่อทำให้ได้รายละเอียดของงานที่ถูกต้องสมบูรณ์ได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างภาพงานจาก บริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด

สถาปัตยกรรมไทย ได้รับการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย มีเอกลักษณ์เป็นแบบเฉพาะทั้งในแต่ละยุค และในแต่ละผู้สร้างสรรค์ ดังเป็นมาโดยลำดับ เราจึงเห็นว่าแต่ละยุค นับแต่สมัยทวารวดีลงมาจนถึงปัจจุบัน มีรูปแบบและเอกลักษณ์ในงานสถาปัตยกรรมไทย เป็นแบบเฉพาะของแต่ละช่วงเวลาเสมอ
ปัจจุบันครูอาจารย์งานสถาปัตยกรรมไทยของเราทุกท่าน ก็มีเอกลักษณ์ลายมือเป็นแบบฉบับเฉพาะตน และยังอาจขยายขอบเขตความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะผ่านแนวคิดในการใช้วัสดุ การเลือกเทคนิควิธีทางการก่อสร้าง หรือเทคโนโลยีแบบใหม่ที่ก้าวไปในปัจจุบันด้วย
ในส่วนของลำดับถัดมาได้กล่าวถึงผลงานของบริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด เพื่อแสดงถึงการทำงานที่อาศัยทักษะต่างๆ ประกอบกันจนได้ผลลัพธ์แห่งงาน และด้วยระยะเวลาอันจำกัด จึงเลือกนำผลงานมาเล่าเพียงสองชิ้น คือ งานออกแบบศิลปกรรมและต่อเติมสถาปัตยกรรม อุโบสถ วัดภัททันตะอาสภาราม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และงานออกแบบเชิงแนวคิด ของการออกแบบวางผังแม่บทวัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี จ.สมุทรปราการ


หลังจากนั้น อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ ได้นำเสนอผลงานบางส่วน และให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ถึงทักษะสำคัญในการทำงานของทีมสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ตามด้วย คุณประพลทัศน์ พงศ์ฤทธิพร จาก วันเพ็ญสตูดิโอ ได้นำเสนอผลงานบางส่วน และให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในขอบเขตการทำงานที่หลากหลายกว้างขวาง ครอบคลุมถึงงานคอมเมอร์เชียล

จากนั้นเป็นช่วง Talk ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ อ.กอล์ฟ ผู้ดำเนินการเวที สัมภาษณ์คำถาม
และเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมฟังบรรยาย สอบถามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
ผู้เขียนหวังว่า ข้อมูลที่นำเสนอในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์แก่แวดวงสถาปนิก สถาปัตยกรรม และสถาปัตยกรรมไทย และขอให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ ที่กำลังฝึกฝนทักษะฝีมือเพื่อก้าวเข้าสู่การทำงานสถาปัตยกรรมไทย ผ่านการฝึกเขียนงานช่างไทย ให้เป็นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญ และรวมถึงการฝึกฝนทักษะการใช้เครื่องมือต่างๆ อันจะส่งเสริมให้การทำงานด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทย เป็นไปด้วยความสมบูรณ์รอบด้าน และวิ่งตามโลกไปได้อย่างไม่ตกขบวน และเชื่อว่า งานออกแบบจากนักออกแบบทุกคนที่มีฐานความรู้ ความคิดที่ดี จะนำไปสู่การสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณค่าสืบไป
ขอน้อมคารวะกราบครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทุกท่านด้วยความเคารพ
ประกิจ ลัคนผจง

ภาพประกอบชุดสุดท้ายนี้ นำมาจากผู้เข้าชมงาน ขออนุญาตนำภาพมาใช้ประกอบบทความในที่นี้ และขอขอบคุณอย่างยิ่ง ณ โอกาสนี้
TAG: