(สมเด็จครู คือบรมครูงานช่างไทยเป็นพระนามย่อที่ช่างไทยยกย่องพระองค์ท่านคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)
หากพิจารณางานสถาปัตยกรรมไทยนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา งานออกแบบก่อสร้างอันเกี่ยวเนื่องในระบบบริหารราชการแผ่นดิน กระทรวง บวง กรม ต่างรับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาใช้โดยตรง อาคารแบบใหม่หลายแห่ง มีนายช่างฝรั่งชาติตะวันตกเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างแทบทั้งสิ้น[1] ซึ่งทำให้คนไทยได้เกิดการเรียนรู้เทคนิควิทยาการทางการก่อสร้างอย่างมาก
สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเรียนรู้ทางการก่อสร้างของงานสถาปัตยกรรมไทยคือ วัสดุและเทคโนโลยี โดยเฉพาะการใช้โครงสร้างคอนกรีตและเหล็ก ร่วมกับวัสดุใหม่ๆ อาทิ หินอ่อน กระจกสี ถือเป็นการแลกรับปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ข้ามทวีปมากที่สุดครั้งหนึ่ง การออกแบบก่อสร้างบนพลวัตทางเศรษฐกิจ และสังคมในเวลานั้น อัจฉริยศิลปินที่สำคัญอย่าง “สมเด็จครู” หรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ คือสถาปนิกเอกแห่งยุคสมัย ที่นำความคิด ความเจริญ จากต่างชาติต่างวัฒนธรรมมาผสานเข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไทยได้อย่างกลมกลืน งานของสมเด็จครูไม่ได้ลอกงานเขามา แต่เรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้สมเด็จครูได้เคยปรารภคำสำคัญคำหนึ่งไว้ถึงการเรียนรู้และนำมาใช้ว่า[2]

ภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (สมเด็จครู)
ที่มาภาพ : https://th.m.wikipedia.org
“จะทำอะไรต้องนึกเอง จะจำเขามาทำ คือกอปี้ นั้นไม่ควร เพราะจะดีไม่ได้ ถ้าหากดี คนที่คิดเดิมเขาก็เอาดีไปกินเสีย ช่างที่ดีก็ไม่ใช่จะเป็นเทวดาเหาะมาจากที่ไหน ถ้าจะเปรียบแล้วก็คือกินของที่เขาทำแล้วเข้าไป แล้วแตกเหงื่อออกมา นี่เองจัดเป็นความคิด…”
ผลงานบางชิ้นของท่านแม้มีงบประมาณอันจำกัด ก็ยังสามารถออกแบบก่อสร้างให้คุ้มค่างบประมาณ(น้อยแต่มาก)ได้ ดังปรากฏเป็นพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมในเวลานั้น แต่ยังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางศิลปกรรมที่ผ่านการคิดค้นคว้าประวัติศาสตร์สำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบที่ล้ำยุคล้ำสมัยอย่างที่สุด และแม้ทุกวันนี้ ผลงานดังกล่าวก็ไม่เคยล้าสมัยเลย

ภาพ : พระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
ที่มาภาพ : https://th.m.wikipedia.org
// ผลงานออกแบบพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นงานที่เรียกได้ว่าเป็นงานเครื่องคอนกรีตที่น้อยแต่ครบ การออกแบบสะท้อนถึงบริบทของสถานที่ตั้ง ประวัติศาสตร์ศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสังคมเศรษฐกิจในห้วงเวลานั้น ความงามของสถาปัตยกรรมอันล้ำยุคล้ำสมัยนี้ อาศัยรูปทรงที่ทำงานร่วมกับแสงที่สร้างมิติต่างๆให้โดยมิได้พึ่งพาอาศัยวัสดุหรือสีสันอันแพรวพราวแบบงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีที่มีมา ซึ่งนับเป็นแนวทางที่สมเด็จครูได้ทรงออกแบบไว้ในลักษณะนี้หลายชิ้นด้วยกัน อาทิ พระอุโบสถวัดราชาธิวาส ปรางค์คู่วัดราชประดิษฐ์ ซุ้มประตูพระบรมมหาราชวัง พระบรมราชานุสาวรีย์พระปฐมบรมราชวงศ์จักรี เป็นต้น ซึ่งแต่ละชิ้นงานอาจมีรายละเอียดทางศิลปกรรมมากน้อย แตกต่างกันไปตามบริบทของงานนั้นๆ (เฉพาะอย่างยิ่งงานออกแบบพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ และวัดราชาธิวาส มีความน่าสนใจในแนวคิดและการออกแบบหลายประการ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป )

ภาพ : พระอุโบสถ วัดราชาธิวาส จ.กรุงเทพมหานคร
ที่มาภาพ : https://th.m.wikipedia.org
แนวคิดในการทำงานของสมเด็จครู เปรียบเสมือนการบุกเบิกงานออกแบบสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยยุคใหม่ ทรงเป็นปราชญ์ที่มีความรู้อย่างกว้างขวาง ประสบการณ์ในการได้พบเห็นศิลปกรรมและผู้คนหลากหลายวัฒนธรรม เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งการหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธ์ุแห่งงานช่างศิลป ผนวกองค์ความรู้ในหลายด้าน หลายมิติ เข้ามารวมในกระบวนการคิดอย่างเป็นองค์รวม ทรงเข้าพระทัยดีถึงคำว่า “สร้างสรรค์” ในเชิงศิลปะ สถาปัตยกรรม เพราะการออกแบบสิ่งใดล้วนแตกหน่อต่อยอดจากมรดกเดิมที่มี ผนวกเข้ากับชีวิตในขณะนั้นๆ ซึ่งตั้งอยู่บนฐานความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ศิลป์ที่มั่นคงและแข็งแรง ผลลัพธ์แห่งความคิดจึงอยู่ในกรอบแห่งปรัชญาการออกแบบ แต่ความคิดสร้างสรรค์ของพระองค์ มักแหวกไปนอกกรอบแห่งงานแบบประเพณีเดิม ทำให้งานศิลปะสถาปัตยกรรมไทย แตกหน่อต่อยอดออกไป การ “สร้างสรรค์” นั้นจึงแปลกตาไปจากงานออกแบบที่มีมาแต่เดิม แต่ไม่ประหลาดตา จากรากวัฒนธรรมของงานสถาปัตยกรรมไทยที่ได้สั่งสมมา เพราะทรงเข้าใจศาสตร์ศิลปอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์แห่งงานออกแบบ เป็นที่โปรดปรานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับช่างไทย และนักออกแบบในสมัยต่อมา แต่อาจมิได้สร้างความตื่นใจให้กับคนโดยทั่วไป เพราะมิได้เป็นการออกแบบเพื่อให้งานชิ้นนั้นตะโกนเรียกร้องความสนใจใดๆจากผู้พบเห็น แต่คุณค่าในเชิงสุนทรียภาพและคุณค่าแห่งงานช่างไทย กลับเปี่ยมล้นออกจากตัวงานอย่างมิอาจปฏิเสธได้ คุณค่าดังกล่าวนี้จะรับทราบได้อย่างเด่นชัดจากผู้อยู่ในแวดวงงานช่างไทย หรือนักออกแบบ ที่เรียนรู้ศาสตร์ศิลป์อันมีเครื่องมือช่างตวงวัดคุณค่างานศิลปะ อย่างเหมาะมือดีแล้ว ส่วนผู้คนทั่วไปอาจรับทราบได้ถึงความงดงาม แต่จะรู้สึกถึงคุณค่าดังกล่าวอย่างชัดเจน ต่อเมื่อได้เข้าไปสัมผัสใช้งานจริง ซึ่งตัวศิลปะสถาปัตยกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้งานออกแบบสื่อสารกับผู้ใช้สอยผ่านประสบการณ์ทางสถาปัตยกรรม มากกว่าการสื่อสารผ่านรูปทรงที่ตื่นตาตื่นใจ
สมเด็จครูนอกจากทรงเข้าพระทัยดี ถึงปรัชญาแห่งการออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทย และทรงมีความเป็นเลิศแห่งความเป็นนักออกแบบอยู่ในพระองค์ท่านด้วย สิ่งนี้มิใช่เกิดขึ้นได้ทันทีทันใด ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์สั่งสม ในการเรียนรู้ ผ่านการมีประสบการณ์ตรงกับผลงานศิลปกรรมชิ้นเยี่ยมที่อยู่รายรอบพระองค์ท่านตลอดพระชนมชีพ ดั่งเช่นคำครูที่ผู้เขียนได้รับฟังจาก อ.วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ผู้เป็นยิ่งกว่าครูในงานไทยของผู้เขียน ท่านได้พร่ำสอนลูกศิษย์ทั้งหลายโดยตลอดว่า ..ครูในงานไทยมิได้มีแต่ครูที่เป็นคนมีชีวิตที่สอนเรานี้เท่านั้น งานสถาปัตยกรรมไทยต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบอย่างเข้าใจศาสตร์ศิลป์ที่แท้จริง ล้วนเป็นครูที่เราต้องเรียนรู้ทั้งสิ้น.. สมเด็จครูก็ทรงมีครูที่เป็นผลงานมากมายอยู่ในพระบรมมหาราชวัง และสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ทรงเสด็จเยือน ท่านเป็นช่างไทยด้วยพระทัย ทรงกลั่นกรองความรู้ในศาสตร์วิชาที่ทรงเรียนมา ร่วมกับครูทุกมิติที่ท่านได้สัมผัส และมีส่วนร่วมในระหว่างทางแห่งการเติบโต ในการเรียนรู้งานช่างศิลป์
ความเป็นศิลปินแห่งสมเด็จครู จึงมิได้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลา แต่อาศัยการสั่งสมนับแต่ทรงพระเยาว์มาแล้ว ทั้งยังทรงตระหนักดีถึงการออกแบบสร้างสรรค์ที่มิใช่แค่คิด แต่ต้องอยู่บนฐานแห่งรากวัฒนธรรมไทย ไม่ทิ้งฐานมรดกเดิมที่มีอยู่ เพื่อมิให้งานออกแบบเละเทะ เปะปะ หลงทาง จนออกนอกกรอบแห่งตัวตนที่บรรพชนได้กลั่นกรองจนเป็นเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมสำคัญของชาติมาแล้วอย่างดี
ความยากประการหนึ่งทางการออกแบบ คือสัดส่วนสัมพันธ์โดยรวม ขององค์ประกอบที่ปรากฏในงานออกแบบนั้น ต้องพอดิบพอดีในแต่ละชิ้นงาน เหมาะควรตามบริบทที่เป็น ซึ่งไม่ว่าจะจัดวางองค์ประกอบทางการออกแบบอะไรลงไป ต้องรักษากรอบโครงโดยรวมไว้ได้ สมเด็จครูทรงมีความแม่นยำในการจับวางองค์ประกอบ จังหวะ ชั้นเชิง ในภาพรวม นับแต่งานระดับผัง สถาปัตยกรรม และงานศิลปกรรม ก็ทรงทำได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าครบทุกมิติทั้ง งานผัง งานสถาปัตยกรรม งานศิลปกรรม งานปราณีตศิลป์ นับว่าหน้าที่ของผู้ออกแบบ ซึ่งจะต้องควบคุมทุกสิ่งอันประกอบขึ้นรวมกันร้อยแปดพันเก้า เข้าเป็นหนึ่งเดียว จนเป็นเอกภาพที่ลงตัวงดงาม ก็ทรงทำได้อย่างสมบูรณ์
เอกลักษณ์แห่งงานออกแบบประการหนึ่ง ที่มักปรากฏในงานออกแบบของพระองค์ท่านคือ ท่านมักจะทรงออกแบบให้หนึ่งอาคารไม่ซ้ำกันในหน้า-หลัง อย่างเช่นพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ หรือ พระอุโบสถ วัดราชาธิวาส ได้รับการออกแบบโดยอาศัยหลักแห่งสมดุลที่ไม่สมมาตร พระอัจฉริยภาพแห่งดุลยภาพในการออกแบบเพื่อรักษาปริมาตรอาคาร ซึ่งให้ผลต่อความรู้สึกทั้งกายภาพและจินตภาพ
สิ่งที่น่าทึ่งอย่างมากอีกส่วนหนึ่ง คือการออกแบบที่แฝงนัยความหมายอันคมคาย ราวกับพระองค์ท่านทรงจบหลักสูตรนิเทศศิลป์ก็ไม่ปาน ทุกสิ่งที่ปรากฏเล็กๆน้อยๆ ล้วนสะท้อนบริบทอันเกี่ยวเนื่องกับงานชิ้นนั้นๆ อย่างลุ่มลึก และทรงมิได้ใช้ระเบียบวิธีเดิมในการทำงานอย่างที่แบบแผนประเพณีเคยทำกันมา ทรงแสวงหาแนวทางใหม่ ที่สะท้อนถึงความเป็นไปในวิทยาการแห่งโลกตะวันตกที่แผ่อิทธิพลเข้ามาในตอนนั้น นำองค์ความรู้เดิมและองค์ความรู้ใหม่มารวมกัน แล้วจัดวางอย่างสร้างสรรค์ให้อยู่ภายใต้กรอบวัฒนธรรมของเราเองได้อย่างแยบยล ผลลัพธ์จึงเป็นการเกิดใหม่ที่เห็นรากวัฒนธรรมอย่างงดงาม
( ผู้เขียนเองเห็นว่า งานบางส่วนจำเป็นต้องรักษาให้อยู่ในปรัชญาแห่งงานนั้นๆ และงานใหม่ในบางส่วนก็อาจหาหนทางแห่งการออกแบบให้แตกแยกออกไปเพื่อให้ตอบรับกับบริบททางสังคมที่ต่างจากเดิมด้วยเช่นกัน แต่ต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากศาสตร์ศิลปแห่งวิชาดังเช่นสมเด็จครูที่ทรงทำสำเร็จมาแล้ว ) //
งานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยโดยสมเด็จครู ถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการของงานสถาปัตยกรรมไทยประเภทวัดวาอารามในยุคปัจจุบัน รูปทรงองค์ประกอบและงานตกแต่ง อันอาศัยเทคนิค วัสดุ สมัยใหม่ ได้ทำให้การออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยแตกต่างไปจากเดิม แต่มิได้ทิ้งรากฐานเดิม เพราะสมเด็จครู ทรงเข้าพระทัยดีถึงการรักษาและสืบทอดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันสำคัญนี้ไว้ มิให้ตกเป็นทาสทางความคิดและวัฒนธรรมของต่างชาติไปเสียหมด และส่งต่อแนวคิดไปสู่การพัฒนาการทำงานของศิษย์คนสำคัญคือ “พระพรหมพิจิตร” ผู้ซึ่งบุกเบิกสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีต ที่นักวิชาการทางไทยยกย่องท่านไว้ ว่างานออกแบบของท่าน ได้แสดงถึงสัจจะวัสดุโดยแท้จริง
งานสถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีต ได้รับความนิยมโดยลำดับนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ซึ่งการพัฒนาบ้านเมือง สร้างอาคารสำคัญๆ หลายแห่งล้วนแต่อาศัยวัสดุจำพวก เหล็ก และคอนกรีต เป็นวัสดุก่อสร้างหลักสำคัญแทนการก่ออิฐรับน้ำหนักแบบเดิม คอนกรีตจึงเป็นวัสดุที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายทั้งในงานก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ และรวมถึงงานสถาปัตยกรรมไทยด้วยเช่นกัน “พระพรหมพิจิตร” (อู๋ ลาภานนท์) คือสถาปนิกผู้ที่พยายามทำให้งานคอนกรีตได้ประสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับงานสถาปัตยกรรมไทยได้ในที่สุด สิ่งนี้เริ่มเผยให้เห็นนับแต่ครั้งที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบซุ้มประตูกั้นเขตพระราชฐานชั้นกลางและชั้นในใน คราวถวายงานสมเด็จครูมาก่อนแล้ว กระทั่งต่อมาภายหลังได้รับมอบหมายให้บูรณะปฏิสังขรณ์ซุ้มประตูสวัสดิโสภา อันเป็นประตูหนึ่งในสิบสองประตูล้อมพระบรมมหาราชวังที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในช่วงเวลาเดียวกัน ท่านก็ยืนกรานว่าจะไม่ออกแบบเลียนแบบรูปลักษณ์ของเครื่องไม้ หาไม่แล้วก็จะไม่ทำงานดังกล่าว นี่เองที่ทำให้ซุ้มประตูสวัสดิโสภาปรากฏโฉม เป็นงานสถาปัตยกรรมไทยแห่งยุคสมัยที่พิเศษสุดยิ่งกว่าซุ้มประตูใดๆ นับเป็นพัฒนาการของงานสถาปัตกยรรมไทยเครื่องคอนกรีต ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากถึงความก้าวหน้าทางความคิด ที่เติบโตคู่ขนานไปกับความเจริญของงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในช่วงเวลานั้นอย่างชัดเจน หากได้มีโอกาสไปสังเกตดูซุ้มประตูรอบๆ จะเห็นว่าโดยมากมีลักษณะเป็นงานเครื่องปูนที่ลอกเลียนแบบงานเครื่องไม้ แต่ซุ้มประตูสวัสดิโสภากลับหนักแน่นมั่นคง และมีอาการแห่งงานเครื่องคอนกรีตอย่างเด่นชัด

ภาพ : ซุ้มประตูสวัสดิโสภา ออกแบบโดยพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ซึ่งมีความโดดเด่นในงานเครื่องคอนกรีตอย่างมาก ต่างจากซุ้มประตูอื่นๆ ที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในช่วงเวลาเดียวกัน
ที่มาภาพ : หนังสือสูจิบัตรนิทรรศการ สถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติฯ จัดพิมพ์โดย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร,บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน),2548,28.
แนวทางการออกแบบสร้างสรรค์ที่ครู(สมเด็จครู) และศิษย์ (พระพรหมพิจิตร) ได้ดำเนินไปบนแนวคิดแห่งวัสดุและเทคโนโลยีใหม่ มีแนวทางเป็นของตนเองทั้งสองท่าน และให้ผลลัพธ์ของงานที่ต่างกัน ส่งผลให้การเรียนรู้และสร้างสรรค์งานโดยสถาปนิกชั้นหลังลงมา ที่อยู่ในระบบ “สกุลช่าง” มีความชัดเจนในการสืบสานและรักษาแบบแผนทางการออกแบบบางประการไว้ เพราะเข้าใจถึงการรักษาคุณค่าสำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าวัสดุและความก้าวหน้าของวงการสถาปัตยกรรมจะเดินไปอย่างไร แต่สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย ที่ได้รับการเรียนรู้ผ่านสกุลช่างที่สืบทอดมาโดยลำดับจากบรมครู สู่ครูในยุคปัจจุบัน ให้ความสำคัญแก่การออกแบบใหม่ที่ไม่ทิ้งรากฐานทางความคิด และวัฒนธรรมสำคัญส่วนนี้เลย ต่างจากสถาปนิกที่มิได้เรียนในระบบ School of Thai Architecture นี้ ซึ่งอาจมองแนวทางการออกแบบงานในกลุ่มพุทธสถานที่แตกต่างออกไป ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีมุมมองหรือแนวคิดอันส่งผลต่อการออกแบบที่แตกต่างกันไปอย่างไรก็ตาม หากผลงานที่ออกแบบตั้งอยู่บนฐานความรู้ความเข้าใจ และมุ่งเน้นไปที่ผลสำเร็จแห่งสถาปัตยกรรมเพื่อพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ ย่อมเชื่อได้ว่า จะก่อให้เกิดการเติบโตและงอกงามในวงการสถาปัตยกรรมไทยได้
หมายเหตุ ข้อความในเครื่องหมาย //….// คือเนื้อความที่เขียนเพิ่มเติมจากรายงานเพื่อลงในเว็บไซต์
[1] อ่านเพิ่มเติมได้ใน สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยามสมัยรัชกาลที่ 4 – พ.ศ.2480.จัดพิมพ์โดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,2553.
[2] นริศศิลป์ เข้าถึงใน https://readthecloud.co/prince-naris/ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2566
ข้อมูล : ประกิจ ลัคนผจง
ข้อมูลข้างต้น นำมาจากการทำรายงานเพิ่มเติม จากการส่งผลงานออกแบบเพื่อขอเลื่อนระดับวิชาชีพสถาปนิกจากชั้นภาคีไปเป็นชั้นสามัญ โดยยื่นเรื่องเสนอต่อสภาสถาปนิก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ได้รับการสอบสัมภาษณ์เดือนธันวาคม พ.ศ.2565 (สภาสถาปนิกให้ทำรายงานประกอบผลงานเพิ่มเติม ส่งรายงานครั้งแรก เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 มีการขอให้แก้ไขรายงานและส่งใหม่อีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ.2567) ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้นพฤษภาคม พ.ศ.2567 และรับใบอนุญาต สิงหาคม พ.ศ.2567
TAG: