อารามหรือวัด ตามที่เราเข้าใจ มีพัฒนาการของการสร้างสรรค์มานานนับพันปี หากย้อนไปในสมัยก่อน พุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามายังดินแดนแถบประเทศไทยในปัจจุบัน ครั้งแรกเริ่มปรากฏในราวสมัยทวารวดี ดังหลักฐานโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซึ่งการก่อสร้างอารามในช่วงเวลานั้นจนถึงวันนี้ ยังคงหลงเหลือซากอาคารก่ออิฐให้เห็นเป็นฐานอุโบสถบ้าง วิหารบ้าง เจดีย์บ้าง แต่อาคารที่สร้างด้วยไม้อาทิ กุฏิ วิหาร หรืออาคารประกอบอื่นๆ ไม่อาจมีอายุยืนยาวให้เห็นเป็นหลักฐานได้ รวมถึงทางภาคใต้ลงไปพุทธศาสนาก็แผ่ขึ้นมาทางโพ้นทะเลผ่านกลุ่มวัฒนธรรมศรีวิชัย ซึ่งถือได้ว่ามีความร่วมยุคร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดี จากนั้นบ้านเมืองก็พัฒนาเรื่อยมาตามช่วงเวลาใกล้เคียงกันโดยลำดับ คือ ศรีวิชัย สุโขทัย ล้านนา อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน
ทวารวดี
สมัยทวารวดี อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-16 จัดเป็นยุคแรกเริ่มของพระพุทธศาสนา กินอาณาบริเวณกว้างขวางตามพื้นที่ชายขอบภูมิศาสตร์อันเป็นอ่าวทะเลเดิม (หรือเป็นหล่มตมดินอ่อน) ก่อนที่แผ่นดินในบริเวณภาคกลางจะเกิดขึ้นดังปัจจุบัน หลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราได้ทราบว่า พุทธสถานในช่วงเวลานั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ก็คือโบราณสถานเขาคลังนอกที่เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดไม่กี่ปีมานี้ หลังจากที่ได้รับการขุดค้นโบราณสถานดังกล่าวจนสมบูรณ์ แต่ผังพื้นที่วัดทั้งหมดก็มิอาจทราบโดยละเอียดได้ว่าเป็นอย่างไร พบหลักฐานเพียงฐานเจดีย์เท่านั้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ภาพ : โบราณสถานเขาคลังนอก โบราณสถานศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
โบราณสถานเขาคลังนอก ตอนบนของฐานขนาดนั้นใหญ่นั้นมีซากเจดีย์อยู่ตรงกลาง พร้อมกับซากอาคารซึ่งดูคล้ายระเบียงคด ล้อมรอบเจดีย์อีกส่วนหนึ่ง แต่ไม่อาจสรุปชัดได้ว่า ผังและรูปแบบที่แน่ชัดจะเป็นอย่างไร โดยในพื้นที่กรมศิลปากรได้มีการจัดแสดงรูปแบบสันนิษฐานจากนักวิชาการ ให้ผู้เยี่ยมชมได้ลองจินตนาการตามไว้ด้วย
ผังอารามสมัยทวารวดีมีเพียงฐานอาคารสำคัญปรากฏให้เห็นเท่านั้น โดยที่โบราณสถานเขาคลังนอกมีความพิเศษที่กรมศิลปากรสำรวจพบเจดีย์รายเรียงอยู่โดยรอบทั้งสี่ทิศ ซึ่งถือเป็นผังที่ซับซ้อนที่สุดของยุคสมัยทวารวดีที่เคยพบมาในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังพบความพิเศษของเจดีย์สมัยทวารวดีบางแห่งที่มีฐานไพทีขนาดใหญ่รองรับ เช่นที่วัดโขลงสุวรรณคีรี เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี ซึ่งบนฐานขนาดใหญ่นั้นพบฐานเจดีย์และฐานอาคารซึ่งอาจเป็นวิหาร ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันนั้น
นับได้ว่าฐานไพทีขนาดใหญ่ มีบันไดทอดยาวพาขึ้นไปสู่พื้นที่ตอนบน ที่มีการสร้างเจดีย์ หรืออาคารบางอย่างด้านบน ถือเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี ที่น่าสนใจ เพราะไม่ปรากฏการสร้างงานสถาปัตยกรรมทำนองนี้ในสมัยอื่นๆ (หากไม่นับปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑปและพระเจดีย์ทอง ในวัดพระแก้วที่สร้างบนฐานไพทีใหญ่เช่นกัน )
เท่าที่ปรากฏหลักฐาน ไม่พบความสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยเราได้ทราบแล้วว่า พุทธศาสนาในสมัยทวารวดีนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ดังปรากฏหลักฐานที่เขาคลังนอกนี้เอง และอาจกล่าวได้ว่าพุทธสถาปัตยกรรมทวารวดีที่ศรีเทพคือสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุคสมัยนั้น
ศรีวิชัย
กลุ่มวัฒนธรรมศรีวิชัย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-19 ถือได้ว่าเป็นยุคร่วมสมัยเดียวกันกับสมัยทวารวดี แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าวัฒนธรรมศรีวิชัย มีความคาบเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมคาบสมุทร ในเขตอินโดนีเซียขึ้นมาจนถึงพื้นที่บริเวณภาคใต้ตอนล่างของไทย ซึ่งเป็นยุคที่หาหลักฐานการวางผังไม่ได้เช่นกัน พบเพียงหลักฐานรูปแบบเจดีย์เป็นหลัก โดยรูปแบบเจดีย์ศรีวิชัยซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น หรือเจดีย์วัดแก้ว วัดหลง ซึ่งมีลักษณะบางประการคล้ายกับสถาปัตยกรรมบนหมู่เกาะชวา

ภาพ : พระบรมธาตุไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี
ที่มาภาพ : วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร – วิกิพีเดีย

ภาพ : โบราณสถานวัดแก้ว จ.สุราษฏร์ธานี
ที่มาภาพ : วัดแก้ว (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) – วิกิพีเดีย

ภาพ : โบราณสถานวัดหลง อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี
ที่มาภาพ : วัดหลง – วิกิพีเดีย
ลพุรี – ขอม
สมัยยุคขอม หรือที่นักวิชาเรียกว่าศิลปะลพบุรี อยู่ในช่วงเวลาพุทธศตวรรษที่ 14-19 โดยมีศูนย์กลางความเจริญบริเวณโตนเลสาบ (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) และกินพื้นที่ถึงบริเวณประเทศไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณภาคอีสานดังปรากฏปราสาทหินหลายแห่ง และยังมีอิทธิพลต่ออาณาจักรทางภาคกลางของไทยด้วยอาทิ สุโขทัย และอยุธยา
หลักฐานทางสถาปัตยกรรมพบได้อย่างชัดเจน จึงปรากฏเห็นแผนผังสำคัญของปราสาทหิน ที่มีลักษณะสมมาตรอย่างเป็นระบบ ตามคติการก่อสร้างอย่างขอม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับคัมภีร์วัสดุศาสตร์ของอินเดีย โดยมีองค์ประกอบผังเป็นปราสาทประธานอยู่ภายในระเบียงคดล้อม มีบรรณาลัยหรือบรรณศาลาเล็กๆ อยู่หน้าปราสาทประธานเยื้องไปทางซ้ายหรือขวา ก่อนเข้าถึงระเบียงคดจะมีทางเดินยาว มีระเบียงหรือสะพานนาคเป็นองค์ประกอบหลักนำเข้าสู่พื้นที่สำคัญ ผังของปราสาทหินในยุคขอมนี้มีความแข็งแรงชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งส่งผลให้พุทธสถาปัตยกรรมไทยประเภทวัด มีการออกแบบวางผังที่มีแกนและองค์ประกอบบางประการคล้ายคลึงกันในเวลาต่อมา ดังตัวอย่างผังปราสาทหินพนมรุ้ง จ.นครราชสีมา เป็นต้น นอกจากนั้นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของปราสาทหินโดยเฉพาะปราสาทประธานยังได้รับการพัฒนาทางศิลปสถาปัตยกรรมคลี่คลายไปสู่งานสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์และรูปแบบเป็นแบบเฉพาะตัวแตกต่างจากต้นฉบับ ดังปรากฏที่วัดมหาธาตุ จ.ชัยนาท หรือ วัดมหาธาตุ จ.ลพบุรี และพัฒนาสู่ความงามสูงสุดดังปรากฏเป็นพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ที่สร้างคราวสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
กล่าวได้ว่าลักษณะผังของศาสนสถานในสมัยนี้ มีรูปแบบที่ชัดเจน ปรากฏหลักฐานให้เห็นในหลายแห่งที่ร่วมสมัยเดียวกัน กล่าวคือมีอาคารประธาน(ปราสาทประธาน)ที่ตั้งอยู่ในวงล้อมของระเบียงคด แนวแกนของการเข้าออกมีลักษณะที่ค่อนข้างสมมาตร หรือสมดุลในผัง องค์ประกอบโดยรอบอาคารประธาน จะเน้นอาคารประธานโดยไม่สนใจความสมบูรณ์ของการวางผังเท่าการเน้นการสร้างความสำคัญให้แก่อาคารประธาน
แนวแกนหลักเน้นนำสายตาไปสู่ตัวอาคารประธาน ทำให้เห็นได้ว่าการออกแบบโดยมีระบบ หรือกรอบที่เป็นหลักแนวคิดที่บังคับไว้ การสร้างพื้นที่สำคัญผ่านลำดับการเข้าถึงอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนี้เอง ที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการส่งอิทธิพลสำคัญต่อการสร้างพุทธสถาปัตยกรรมของงานสถาปัตยกรรมไทย และเป็นการสร้างฐานการคิดสร้างสรรค์สำคัญในเวลาต่อๆมา

ภาพ : โบราณสถานปราสาทหินพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
ที่มาภาพ : อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย – วิกิพีเดีย
สุโขทัย
สมัยสุโขทัยเริ่มเป็นอาณาจักรสำคัญในราวพุทธศตวรรษที่ 18 (เจริญต่อเนื่องมาจนอาณาจักรอยุธยามีความสำคัญขึ้นมา จนภายหลังมีอำนาจเหนือสุโขทัยไปในที่สุด) ในยุคแรกสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยมีรูปแบบอิทธิพลขอมดังปรากฏหลักฐานที่วัดศรีสวาย วัดพระพายหลวง ต่อมาพัฒนาบ้านเมืองให้มีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง และรับพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามา ทำให้งานสถาปัตยกรรมนิยมสร้างเจดีย์ทรงลังกา แผนผังของวัดในยุคสมัยนี้ นิยมสร้างสถูปเจดีย์เป็นประธาน ทั้งเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ หรือทรงดอกบัวตูมที่เป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย ด้านหน้าเจดีย์จะเป็นวิหารขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะวางผังในแนวแกนเดี่ยวเป็นหลัก แต่อาจจะมีการต่อเติมผังในเวลาต่อมาจนเกิดอาคารประกอบในผังมากมาย (ซึ่งมักมีการสร้างอาคารประกอบเพิ่มเติมในวัดสำคัญทั้งสมัยสุโขทัยและอยุธยา) อุโบสถ มีหลักฐานปรากฏในผังชัดเจน แต่ไม่อยู่ในแนวแกนสำคัญ มักสร้างหลบไปทางด้านหลังนอกผังหลักของวัด และมีขนาดเล็กกว่าวิหารสำคัญที่อยู่ทางด้านหน้าเจดีย์ นิยมสร้างมณฑปขึ้นในสมัยนี้มากมาย อาทิ มณฑปพระอจนะวัดศรีชุม (ซึ่งใช้มณฑปเป็นประธานของผังวัด) มณฑปพระอัฏฐารส นอกจากนั้นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของผังเขตพุทธาวาสในสมัยสุโขทัยจะนิยมสร้างกำแพงก่ออิฐหรือแลง หรือบางแห่งจะสร้างแนวคูน้ำล้อมเขตพุทธาวาส ไม่ปรากฏเขตอื่นๆ นอกจากเขตพุทธาวาสเท่านั้น (ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในส่วนสังฆาวาส สร้างด้วยวัสดุจำพวกไม้ จึงไม่เหลือหลักฐานให้เห็น)

ภาพ : วัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย อาคารสำคัญอยู่ในแนวแกนเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วิหารหลวงอยู่หน้าเจดีย์ประธานในภาพจะเห็นมณฑปพระอัฏฐารส อยู่ทางขวาของเจดีย์ประธาน ซึ่งเป็นมณฑปที่นิยมสร้างในสมัยสุโขทัย ส่วนอาคารประกอบอื่นๆ สร้างขึ้นต่อเติมจนเต็มพื้นที่
ที่มาภาพ : กรมศิลปากร อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย

ภาพ : ผังวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย พระอุโบสถ(หมายเลข 2)อยู่ทางเหนือของเจดีย์ประธาน
มีคูน้ำล้อมรอบด้านนอก
ที่มาภาพ : หนังสือ สถาปัตยกรรมสุโขทัย โดย ธาดา สุทธิธรรม,2536.

ภาพ : ผังวัดเจดีย์เจ็ดแถว อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย จะเห็นอุโบสถอยู่นอกกำแพงออกมาทางซ้ายล่าง
ที่มาภาพ : หนังสือ สถาปัตยกรรมสุโขทัย โดย ธาดา สุทธิธรรม,2536.

ภาพ : ผังวัดช้างล้อม อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ให้ความสำคัญกับเจดีย์เป็นหลัก มีกำแพงล้อมเขตสองชั้น
ที่มาภาพ : หนังสือ สถาปัตยกรรมสุโขทัย โดย ธาดา สุทธิธรรม,2536.

ภาพ : ผังวัดพระสี่อิริยาบถ เมืองกำแพงเพชร มีมณฑปเป็นประธานของผัง และวิหารหลักอยู่ด้านหน้า มีวิหารและโบสถ์ขนาดเล็กอยู่ด้านล่างของผัง
ที่มาภาพ : หนังสือ สถาปัตยกรรมสุโขทัย โดย ธาดา สุทธิธรรม,2536.
มณฑปในสมัยสุโขทัย เป็นชนิดอาคารที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงกับเป็นอาคารประธานของวัดหลายวัดด้วยกัน โดยมีลักษณะเป็นอาคารในผังจัตุรัส หลังคาอาจมีลักษณะเป็นแบบเฉพาะในยุคสมัยนี้ กล่าวคือมิได้ขึ้นเป็นหลังคาเครื่องยอดดังปรากฏในยุคหลัง บางหลังมีหลังคาเป็นทรงกูบ (ทรงหลังคาจั่วกลีบบัว) มักเป็นที่ประดิษฐานพระสำคัญ หรือพระประธาน ที่บางแห่งมีศักดิ์อาคารเสมอด้วยเจดีย์ ที่น่าสนใจคือมณฑปพระอจนะวัดศรีชุม มณฑปพระสี่อิริยาบถที่นักวิชาการเชื่อว่าไดรับอิทธิพลจากพุกามของพม่า
ล้านนา
ยุคล้านนาอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 19-22 ในช่วงเดียวกับที่อาณาจักรสุโขทัยทางตอนใต้เจริญรุ่งเรือง โดยล้านนาตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งคือ พ.ศ.2101-2317 ซึ่งปกครองในเขตพื้นที่เมืองเชียงใหม่เป็นสำคัญ ซึ่งหัวเมืองล้านนาในสมัยก่อนนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นอาณาจักรนหัวเมืองทางเหนือ หรือเป็นประเทศราช จนปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วนั้นจึงได้รวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ศิลปสถาปัตยกรรมในล้านนาจึงมีความเชื่อมโยงกับทั้งสุโขทัยและพม่า รูปแบบเจดีย์ล้านนามีเอกลักษณ์เป็นแบบพาะ โดยเฉพาะเจดีย์ทรงระฆังที่ยกฐานสูง และวิหารล้านนาที่มีลักษณะรูปแบบเป็นการลดชุดจั่วออกมาทางด้านหน้า หลังคาแอ่นโค้งนุ่มนวลคลุมต่ำลงมา เอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือบริเวณซุ้มทางเข้าในแนวแกนสำคัญมักทำซุ้มประตูโขง ซึ่งเป็นลักษณะซุ้มประตูเรือนยอดแหลมประดับงานปั้นปูนศิลปกรรมอย่างงดงาม
ผังอารามในเขตล้านนานักวิชาการกล่าวว่ามีการสร้างในคติจักรวาลวิทยา โดยมีพระธาตุหรือเจดีย์ใหญ่เป็นประธานของผัง วิหารหลวงอยู่ทางด้านหน้าพระธาตุ โดยอาจมีกำแพงแก้วล้อมเฉพาะธาตุเจดีย์ หรือล้อมทั้งเจดีย์หลักและวิหารด้วยก็ได้ อุโบสถไม่มีความสำคัญในผัง จะหลบอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังและมีขนาดเล็ก ส่วนเขตสังฆาวาสจะอยู่ด้านหลัง หรือด้านข้างของเขตพุทธาวาส

ภาพ : ผังวัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน มีพระธาตุเจดีย์เป็นประธาน วิหารหลวงอยู่ด้านหน้า
ที่มาภาพ : https://lannakadee.cmu.ac.th/area2/page1.php?pid=4

ภาพ : ผังวัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง มีพระธาตุเจดีย์เป็นประธาน วิหารหลวงอยู่ด้านหน้า
โดยมีระเบียงล้อมเขตพุทธาวาสที่มีพระธาตุเจดีย์ และอาคารอื่นๆ ไว้ด้วย อุโบสถไม่ได้มีความสำคัญในผัง
ที่มาภาพ : https://lannakadee.cmu.ac.th/area2/page1.php?pid=4
อยุธยา
ยุคนี้อยู่ในปลายพุทธศตวรรษที่ 19-23 เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนมีความสำคัญแทนอาณาจักรสุโขทัยที่อยู่ทางตอนเหนือขึ้นไป เจริญรุ่งเรืองยาวนานถึง 416 ปี ด้วยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำทั้งสามสายบรรจบกัน พื้นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนา ใกล้ทะเลค้าขายกับชาวต่างชาติได้สะดวก โดยการเติบโตของอาณาจักรอยุธยาในช่วงแรก สร้างงานสถาปัตยกรรมประเภทวัดวาอารามจากแนวคิดเทวราชา กษัตริย์เป็นสมมุติเทพ รับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบขอมมาใช้ ทำให้วัดในช่วงแรกมีรูปแบบและการวางผังที่ใกล้เคียงกับศิลปกรรมขอม เช่นวัดพระราม วัดมหาธาตุ เป็นต้น ต่อมาภายหลังจึงมีการสร้างเจดีย์ในลักษณะทรงลังกา ตามลัทธิพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ที่รับเข้ามาปรับใช้ และพัฒนาเป็นลัทธิสยามวงศ์ในเวลาต่อมา คติไตรภูมิมีผลต่อแนวคิดในการออกแบบวางผัง
ผังวัดมีการวางพระปรางค์หรือเจดีย์เป็นประธาน วิหารขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า และมักวางอุโบสถในแนวแกนเดียวกันทางด้านหลัง มีระเบียงคดล้อมอาคารประธาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสมัยนี้อุโบสถเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นกว่ายุคก่อนอย่างเห็นได้ชัด และภายหลังได้เกิดการสร้างเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้ อันเป็นแบบแผนให้กับสมัยรัตนโกสินทร์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งในช่วงท้ายของยุคสมัย เราจะเห็นว่าเจดีย์ประธานลดบทบาทลงไปจนเจดีย์มีขนาดเล็กและกลายเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของผัง และเราจะเริ่มเห็นว่ามีการให้ความสำคัญกับอุโบสถมากขึ้น จนกระทั่งอุโบสถกลายเป็นประธานของผังในที่สุด เช่นที่วัดพญาแมน วัดโพธิ์ประทับช้าง วัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นต้น เขตพื้นที่วัดอื่นในโบราณสถานไม่ปรากฏ เช่น เขตสังฆาวาส เป็นต้น

ภาพ : ผังวัดมหาธาตุ จ.พระนครศรีอยุธยา มีปรางค์เป็นประธาน ล้อมด้วยระเบียงคด ในวงระเบียงคดมีวิหารหลวงอยู่ด้านหน้า อุโบสถอยู่ด้านหลังในแนวแกนสำคัญเดียวกัน อาคารประกอบอื่นอยู่นอกระเบียงคดโดยมีระเบียงล้อมเขตพุทธาวาสที่มีพระธาตุเจดีย์ และอาคารอื่นๆ ไว้ด้วย อุโบสถเริ่มมีความสำคัญในผัง
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จาก https://shorturl.asia/nOy0K

ภาพ : ผังวัดพระราม จ.พระนครศรีอยุธยา มีปรางค์เป็นประธาน ล้อมด้วยระเบียงคด ในวงระเบียงคดมีวิหารหลวงอยู่ด้านหน้า อุโบสถอยู่ด้านหลังในแนวแกนสำคัญเดียวกัน อาคารประกอบอื่นอยู่นอกระเบียงคด
ที่มาภาพ : หนังสือ อนาคตศาสตร์ โดย วนิดา พึ่งสุนทร / รสิตา สินเอกเอี่ยม ,2565.

ภาพ 14 : ผังวัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรีอยุธยา มีผังพิเศษเนื่องด้วยสร้างขึ้นเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วยเจดีย์และมณฑปชุด 3 ชุด เป็นประธาน วิหารอยู่ด้านหน้า และด้านหลังในแนวแกนเดียวกัน เป็นอาคารตรีมุขตามผัง (แต่อาจเป็นจตุรมุขหรือมณฑปประกอบมุขก็ได้-ความเห็นผู้เขียน) อุโบสถอยู่ทางขวามือของวิหารหลัก
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากหนังสือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ โดย เสนอ นิลเดช ,2566.

ภาพ : ผังวัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นการนำรูปแบบปรางค์กลับมาใช้ใหม่เป็นประธานของผังวัด ที่สำคัญคือมีอุโบสถเป็นอาคารหลักด้านหน้า โดยมีเจดีย์ขนาบข้าง เป็นผังที่มีระเบียบเรียบร้อยชัดเจนอย่างมาก มีการสร้างกำแพงล้อมหลายชั้น และสร้างความสำคัญให้แก่อาคารในผังด้วยการยกระดับตามเขตพื้นที่ที่ล้อมไว้นั้น
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากหนังสือ วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา โดยกรมศิลปากร , 2562.

ภาพ : ผังวัดบรมพุทธาราม จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มีการยกอุโบสถเป็นประธานของผังวัดมีการสร้างปรางค์เรียงแถวสององค์ด้านหน้า นับเป็นพัฒนาการที่แตกต่างจากช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างชัดเจน
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากเอกสาร ประกาศกรมศิลปากร เรื่องกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 112 ตอนพิเศษ 22 ง โดยกรมศิลปากร , 2538.

ภาพ : ผังวัดพระยาแมน จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีอุโบสถเป็นประธานของผังวัดมีการสร้างปรางค์ด้านหลัง และเจดีย์คู่ด้านหน้า
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาแผนผังวัดสมัยอยุธยาในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดย ปัทมา วิชิตจรูญญ,2543.
รัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์เริ่มต้นหลังยุคกรุงธนบุรี ที่ก่อร่างสร้างตัวภายหลังการเสียกรุงครั้งที่ 2 กินเวลาเพียง 15 ปี ก็ได้ย้ายข้ามฝั่งธนมาฝั่งพระนคร โดยเริ่มต้นราชธานีกรุงรัตนโกสินทร์นับแต่ปี พ.ศ.2325 มาจนถึงปัจจุบัน
การสร้างเมืองและงานสถาปัตยกรรมโดยมาก เป็นการสืบสานจากศิลปะสถาปัตยกรรมอยุธยามา ซึ่งในสมัยอยุธยาตอนปลายมีอย่างไร กรุงรัตนโกสินทร์ก็มีอย่างนั้น ผิดแต่ลักษณะของงานสถาปัตกยรรมอาจมิได้วิจิตรมากเท่า และทรงหลังคาจั่วในอุโบสถวิหารต่างๆ ก็มิได้มีความแอ่นช้อยดังเช่นสมัยอยุธยา เนื่องด้วยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเสียใหม่ วัดวาอารามในบริเวณพื้นที่เดิมได้รับการบูรณะปรับปรุงขนานใหญ่
ผังวัดในช่วงแรกเริ่มสืบสานยุคครั้งบ้านเมืองดี สมัยรัชกาลที่1-3 ช่วงสร้างบ้านแปงเมือง วัดจะสร้างตามอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยผังวัดจะมีอุโบสถเป็นอาคารประธานสำคัญของผังในแนวแกนดิ่งสำคัญ หากเป็นวัดหลวง มักจะมีการวางผังระเบียงคดล้อมอาคารประธานนั้น ในแนวแกนกลางของระเบียงคดจะเป็นซุ้มทางเข้า หากมีเจดีย์จะวางอยู่ด้านหลังอุโบสถในแนวแกนหลัก แต่โดยมากจะมีอุโบสถเป็นประธานของผัง เขตสังฆาวาสจะมีหมู่กุฏิอยู่เป็นกลุ่มๆ เรียกว่าคณะต่างๆ แยกพื้นที่จากเขตพุทธาวาสอย่างชัดเจน ซึ่งตำแหน่งของเขตพุทธาวาส สังฆาวาสจะวางตำแหน่งได้ดังได้อธิบายไว้ในเรื่องเขตพื้นที่วัด ทั้งนี้การสร้างวัดและบูรณะปฏิสังขรณ์เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างมากในสมัยรัฃกาลที่ 1 และลดความเร่งด่วนลงในสมัยรัฃกาลที่ 2 ซึ่งมีความสงบจากภาวะสงคครามมากชึ้น ต่อมาสมัยรัฃกาลที่ 3 ได้เกิดการทำนุบำรุงสร้างวัดวาอารามและบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างมโหฬาร ด้วยความสงบจากการสงคราม มีความพร้อมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับพระราชศรัทธาในองค์พระมหากษัตริย์เป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งนี้ความน่าสนใจของการออกแบบวางผังวัดในยุคนี้คือ วัดที่สร้างโดยรัชกาลที่ 3 มักจะมีผังพุทธาวาสที่พิเศษและซับซ้อน เช่นการวางกลุ่มอาคารในเขตพุทธาวาสที่มีแกนอาคารมากกว่า 1 แกน โดยมีแกนหลักเป็นแกนกลางของผังเขตพุทธาวาส มีแกนรองเป็นแกนขนาบ(เป็นสามแกน)หรือเป็นแกนตั้งฉากทางด้านหลัง ผังวัดในสมัยรัตนโกสินทร์จะเห็นเขตพื้นที่พุทธาวาสและสังฆาวาสชัดเจน โดยเขตสังฆาวาสจะยังมีการแบ่งหมู่กุฏิออกเป็นกลุ่มๆ ตามการปกครองในวัดเป็นคณะ ๆ ไป
ในสมัยรัชกาลที่ 3 การออกแบบบวางผังวัด มีเอกลักษณ์พิเศษแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างชัดเจนทั้งโดยรูปแบบและแผนผัง โดยเฉพาะวัดในลักษณะพระราชนิยมที่ได้รับอิทธิพลศิลปกรรมจีน ต่อมางานออกแบบก่อสร้างได้พัฒนาการอย่างมากทั้งในเชิง วัสดุ รูปแบบและแผนผังนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เช่นการสร้างอุโบสถที่มีเจดีย์ตั้งอยู่ด้านบน เช่น พระอุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิต เกาะสีชัง, การสร้างอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ซึ่งมีระเบียงคดล้อมพื้นที่ว่างแทนการล้อมเจดีย์ประธาน เป็นต้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง จนก้าวเข้าสู่ยุคสถาปนิกหลังช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการออกแบบวางผังและรูปแบบวัดที่แปลกแตกต่างไปจากยุคก่อนหน้าอย่างมาก เช่นการสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุบางเขน ที่นำเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ไว้หน้าอุโบสถ ประกอบกับการขุดสระปลูกต้นโพธิ์ขนาบในผังด้านนอกอีกชุด หรือการรวมเอาการใช้สอยของอาคารหลากหลายประเภทในวัด เข้ามารวมเป็นอาคารกลุ่มเดียวกัน เช่น พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ ที่จ.ประจวบคีรีขันธุ์ ,พระอุโบสถวัดโสธร จ.ฉะเชิงเทรา เป็นต้น สำหรับอาคารที่มีรูปแบบแปลกไปจากงานพระเพณีในที่นี้จะขอละไว้ก่อน แต่ขอให้ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งผังและรูปแบบได้เกิดขึ้นอย่างมากในยุคปัจจุบันที่อาจเกิดการออกแบบก่อสร้าง ที่ต้องสนองตอบการใช้งานที่มีความหลากหลายและซับซ้อนทางการใช้งานมากขึ้น พื้นที่เขตธรณีสงฆ์มักเป็นตึกแถวที่อยู่รายรอบเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส ให้ชาวบ้านเช่าหารายได้บำรุงวัด ภายหลังพื้นที่โล่งภายในวัดแม้ในเขตพุทธาวาสก็ได้รับการปรับเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่จอดรถเพื่อเก็บผลประโยชน์ในการบำรุงวัดด้วยเช่นกัน

ภาพ : ผังวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผังที่มีความซับซ้อนอย่างมากเนื่องด้วยมีการปรับผังพุทธาวาสเดิมโดยแปลงอุโบสถและวิหารคู่มาเป็นวิหารทั้งสองหลังแล้วสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ขึ้นทางด้านหลัง มีการสร้างอุโบสถที่มีระเบียงคดล้อม มีเจดีย์มุมในวงระเบียง และวิหารหลวงคู่กันในวงนอกระเบียง ระหว่างอาคารทั้งสองหลังมีเจดีย์รายและมณฑปคั่นกลาง พื้นที่ตอนหลังและด้านข้างวิหารเป็นพื้นที่สังฆาวาส โดยด้านหลังสุดฝั่งพระอุโบสถมีพื้นที่ฌาปนสถาน(พื้นที่เขตธรณีสงฆ์) อันเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับวัดใหญ่ๆในปัจจุบันเพื่อให้ชุมชนได้ใช้งาน พื้นที่โรงเรียนทวีธาภิเษกเดิมเคยเป็นกุฏิสงฆ์มาก่อน ภายหลังรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดให้รื้อสร้างกุฏิเดิมที่ทรุดโทรมเป็นโรงเรียนแทน ลักษณะของผังดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นกับวัดสำคัญมากมายหลายแห่ง ที่มีการปรับเปลี่ยนต่อเติมไปตามยุคสมัย
ที่มาภาพ : กรมศิลปากร

ภาพ : ผังวัดปทุมคงคา กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผังที่เห็นได้ถึงการวางตำแหน่งอาคารสำคัญคือพระอุโบสถและพระวิหารคู่กันในผัง มีระเบียงล้อมอาคารทั้งสองหลังนั้น มีเจดีย์รายเรียงแถวด้านนอกระเบียงคดทางด้านหลัง ทั้งนี้มีพื้นที่สังฆาวาสขนาบเขตพุทธาวาสทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
ที่มาภาพ : กรมศิลปากร

ภาพ : ผังวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผังที่เห็นได้ถึงการวางตำแหน่งอาคารสำคัญสามหลังด้วยกันในเขตระเบียงคดล้อม คือพระอุโบสถและพระวิหารคู่กันและมีมณฑปอยู่ด้าหน้า บริเวณในวงระเบียงคดมีเจดีย์ราย ทางตอนเหนือมีโรงเรียน และพื้นที่อาคารพาณิชย์โอบล้อม(ธรณีสงฆ์) โดยทางตอนใต้เป็นเขตพื้นที่สังฆาวาส แบ่งเป็นคณะต่างๆ แยกปกครอง ทั้งนี้พื้นที่ติดสนามหลวงมีตึกสีแดง คือหอสมุดวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเดิมรัชกาลที่ 5 สร้างไว้ให้เป็นอาคารเรียนของสงฆ์ ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนการใช้งานไปเป็น อาคารประกอบในพิธีพระบรมศพ หอสมุด และพิพิธภัณฑ์ ตามลำดับ
ที่มาภาพ : กรมศิลปากร

ภาพ : ผังวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผังที่เห็นได้ถึงเขตพุทธาวาสทางซ้าย และเขตสังฆาวาสทางขวาได้อย่างชัดเจน และในผังเขตพุทธาวาส ได้กำหนดให้วิหารหลวงเป็นอาคารประธานของผังมีระเบียงคดล้อม ในทำนองเดียวกับเป็นเจดีย์ประธานของผัง ด้านหลังวางแนวพระอุโบสถขวางแกนเป็นฉากหลังให้กับอาคารประธานด้านหน้า จนเต็มพื้นที่ในส่วนที่สองนี้ ทำให้ผังรวมของเขตพุทธาวาสนี้จัดเป็นผังชนิดวางแนวแกนฉาก ทั้งนี้ยังมีการวางอาคารประกอบอีกมากหมายหลายหลังรอบอาคารสำคัญทั้งสองหลังนั้นนั้น โดยคำนึงถึงระเบียบอันสมบูรณ์ของผังเป็นสำคัญ ทำให้ผังพุทธาวาสไม่รกตาแม้ผ่านเวลามาจนถึงปัจจุบัน ด้านหลังเป็นเขตสังฆาวาสที่มีการวางเป็นกลุ่มๆอาคาร ปกครองแยกเขตเป็นคณะๆ ไปตามระเบียบแห่งการปกครองของคณะสงฆ์ในวัดอันเป็นลักษณะเดียวกันของหลายๆวัด
ที่มาภาพ : กรมศิลปากร

ภาพ 22 : ผังวัดเฉลิมพระเกียรติ จ.นนทบุรี สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผังที่สร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีอาคารสำคัญสามหลังในลักษณะผังสามแกน และมีเจดีย์อยู่ท้ายอุโบสถตามแบบแผนประเพณีนิยม ทั้งนี้จะเห็นเขตสังฆาวาสทางตอนบนเป็นระเบียบ และด้านหลังเป็นเขตธรณีสงฆ์ใช้เป็นฌาปนสถาน
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากวิทยานิพนธ์ การศึกษาเปรียบเทียบสถาปัตยกรรมพระอารามหลวงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว : กรณีศึกษาวัดเทพธิดารามวรวิหาร วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร โดย ปิยมาศ สุขพลับพลา,2546.

ภาพ : ผังวัดราชประดิษฐ์ กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดประจำพระองค์สมัยรัชกาลที่ 4 มีผังวัดที่สะอาดตาแยกเขตพุทธาวาสเป็นฝั่งขวา สังฆาวาสเป็นฝั่งซ้าย โดยเขตพุทธาวาสมีเจดีย์เป็นประธานด้านหลังอุโบสถตามแบบประเพณี และมีอาคารประกอบสร้างความสมบูรณ์ให้ผังโดยรอบอาคารหลัก
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากวิทยานิพนธ์ พระอุโบสถและพระวิหารสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย สมคิด จิระทัศกุล,2533.

ภาพ : ผังวัดราชบพิธ กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดประจำพระองค์สมัยรัชกาลที่ 5 มีผังวัดที่แบ่งออกเป็นเขตพุทธาวาสตอนบน เขตสังฆาวาสตอนล่าง และสุสานหลวง(ธรณีสงฆ์) ทางด้านซ้ายมือ โดยผังเขตพุทธาวาสมีพระเจดีย์เป็นประธาน มีพระอุโบสถอยู่ด้านหน้าและมีพระวิหารอยู่ในแนวแกนที่เหลือ จัดเป็นผังแบบกากบาท โดยมีระเบียงคดวงกลม(สร้างตามอย่างวัดพระปฐมเจดีย์) ล้อมองค์เจดีย์ประธานไว้ มีศาลาเปลื้องเครื่องที่กำแพงเขตวัดทางขวา
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากวิทยานิพนธ์ การศึกษาเรื่องการออกแบบสาปัตยกรรมวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดย สุดจิต(เศวตศิลา) สนั่นไหว, 2536.

ภาพ : ผังวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการออกแบบวางผังให้พื้นที่ตอนซ้ายมือเป็นเขตพุทธาวาส ส่วนสำคัญศาลาหน้า 1คู่ พระอุโบสถที่มีระเบียงคดล้อมไปทางด้านหลัง และลานโพธิ์ด้านหลังพระระเบียงคด ส่วนพื้นที่ทางขวามือของเขตพุทธาวาส เป็นพื้นที่สำคัญคือสังฆาวาส ที่มีพื้นที่ตอนหน้าเป็นพื้นที่ประกอบพิธีในพระบรมวงศ์ หรือบุคคลสำคัญยิ่ง ถัดไปทางขวามือตอนในเป็นพื้นที่สงฆ์
ที่มาภาพ : วาดขึ้นใหม่จากวิทยานิพนธ์ การศึกษาเรื่องการออกแบบสาปัตยกรรมวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดย สุดจิต(เศวตศิลา) สนั่นไหว, 2536.
หลังจากรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาก็มิได้มีการสร้างวัดโดยพระเจ้าแผ่นดินอีก เป็นการสร้างโดยข้าราชบริพาร หรือเอกชนเพื่อถวายเฉลิมพระเกียรติ และมีรูปแบบที่โดยมากรักษาแบบแผนการก่อสร้างตามแบบประเพณีที่มีมา แต่บางส่วนจำเป็นต้องทำการออกแบบเพื่อตอบสนองการใช้งานให้เข้ากับยุคสมัย และผนวกแนวคิดกับการออกแบบงานสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกร่วมด้วย
การออกแบบวางผังวัดในสมัยหลังหากเป็นไปได้จะทำการวางผังแม่บทในการออกแบบเพื่อให้การพัฒนาวัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในอนาคต ไม่เกิดการรบกวนความสมบูรณ์ของผัง แต่หากบางแห่งไม่พร้อมก็เป็นการสร้างไปตามบริบทที่จำเป็น ทั้งนี้ยังคงรักษาลักษณะผังตามเขตพุทธาวาส สังฆาวาส เป็นสำคัญ ส่วนธรณีสงฆ์จะมีมากน้อยอย่างไร เป็นไปตามความต้องการหรือความพร้อมของวัดแต่ละแห่ง
(เพิ่มเติมเนื้อหา)
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยมิได้สร้างวัดเป็นสำคัญดังเช่นสมัยที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงสร้างมา แต่ให้ความสำคัญต่อระบบสังคมและเศรษฐกิจเป็นสำคัญ การสร้างวัดครั้งสำคัญอาจมีอาทิ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบางเขน ซึ่งมีผังที่มีความแปลกไปจากแบบแผนประเพณีที่เคยมีมา คือมีการสร้างเจดีย์ไว้หน้าพระอุโบสถ ซึ่งภายในองค์เจดีย์มีการบรรจุอัฐิของกลุ่มคณะราษฎร์และผู้เกี่ยวข้องไว้ด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการวางผังที่แปลกไปจากประเพณีนิยม (แต่มิใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อนที่จะมีเจดีย์มาอยู่หน้าอุโบสถ)
ต่อมาเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคสมัยรัชกาลที่ 9 ในช่วงนับแต่ปี พ.ศ.2525 ครั้งฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี เป็นต้นมา การสร้างวัดที่มีขนาดใหญ่ เริ่มปรากฏมีมากขึ้น ทำให้การออกแบบและวางผังวัด ขยายขอบเขตการใช้งานพื้นที่ภายในวัดมากขึ้น มีความซับซ้อนในการออกแบบและก่อสร้างมากขึ้น
บางวัดอาจมีการรวบพื้นที่ใช้งานอาคารต่างๆเข้าไว้ในอาคารเดียวกันเพื่อกระชับการใช้พื้นที่ของวัด แต่ได้ผลลัพธ์เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ และเป็นงานมัลติฟังก์ชันในหลังเดียวกัน
ปัจจุบันวัดบางแห่งมีพื้นที่ในการออกแบบวางผังนับพันไร่ มีการใช้งานภายในที่หลากหลายทั้งพื้นที่ใช้งาน และตัวอาคารในวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดที่มีกิจกรรมเพื่อการปฏิบัติธรรม นับเป็นวัดที่มีการใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก เพื่อรองรับพุทธศาสนิกชน และกิจกรรมต่างๆ
นอกจากนั้นการสร้างวัดในปัจจุบัน อาจมิใช่แค่เพียงเพื่อกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่อาจเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมร่วมด้วย
การออกแบบก่อสร้างวัดในปัจจุบัน มิได้เป็นการดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ หรือช่างหลวง หรือคณะผู้ดำเนินการที่ได้รับการสืบต่อองค์ความรู้จากสล่า หรือทีมช่างในแบบที่เคยเป็นมา ซึ่งพยามรักษาสืบทอดรูปแบบและลักษณะให้คงคุณค่าตามแบบแผนประเพณีไว้ แต่เป็นไปตามความคิดที่อยู่บนสังคมโลกไร้พรหมแดน เกิดการคิดไปตามความต้องการของแต่ละคนที่เกี่ยวข้องดำเนินการไป ซึ่งอาจห่างไปจากปรัชญาแห่งการออกแบบพุทธสถาน ขาดหลักการและเหตุผลตามแบบแผนงานช่างไทยที่มีมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัดวาอารามต่างๆ มิได้ทำการขออนุญาตก่อสร้างตามที่ควรจะเป็นตามมาตรฐานวิชาชีพควบคุมความปลอดภัยในการก่อสร้างด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความหลากหลายที่เกิดขึ้นตั้งอยู่บนความเสี่ยงไปด้วยในคราวเดียวกัน
วัดบางแห่งที่มิได้รับการออกแบบการใช้พื้นที่อย่างระมัดระวัง จึงกลายเป็นตลาดนัดความเชื่อความศรัทธา ที่หลากหลายไม่แต่เฉพาะพื้นที่เพื่อพุทธพาณิชย์ แต่อาจเป็นพื้นที่ไสยพาณิชย์ และตลาดบุญ ที่แทรกไปในหลายๆ พื้นที่ของวัด จนรบกวนความสงบศรัทธาอย่างน่าเสียดาย
หมายเหตุ***
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก วนิดา พึ่งสุนทร และ รสิตา สินเอกเอี่ยม , อนาคตศาสตร์ : พุทธศิลปะสถาปัตยกรรมในอนาคต (กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์แพริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน), 2565.
ขอขอบคุณ ผู้ช่วยวาดผังวัด (ที่วาดขึ้นใหม่) คุณณัชพล ไชยพินิจ
ข้อมูล : ประกิจ ลัคนผจง
ข้อมูลข้างต้น นำมาจากการทำรายงานเพิ่มเติม จากการส่งผลงานออกแบบเพื่อขอเลื่อนระดับวิชาชีพสถาปนิกจากชั้นภาคีไปเป็นชั้นสามัญ โดยยื่นเรื่องเสนอต่อสภาสถาปนิก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ได้รับการสอบสัมภาษณ์เดือนธันวาคม พ.ศ.2565 (สภาสถาปนิกให้ทำรายงานประกอบผลงานเพิ่มเติม ส่งรายงานครั้งแรก เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 มีการขอให้แก้ไขรายงานและส่งใหม่อีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ.2567) ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้นพฤษภาคม พ.ศ.2567 และรับใบอนุญาต สิงหาคม พ.ศ.2567
TAG: