(ชื่อเดิมในรายงาน : พัฒนาการ บนฐานการเรียนรู้อย่างเข้าใจในงานสถาปัตยกรรมไทย)
คุณค่าในงานสถาปัตยกรรมไทยนั้น ถือว่าสูงค่าอย่างมาก เพราะเป็นงานที่รวบรวมงานช่างศิลป์ทุกแขนงมาไว้ในที่เดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า สถาปัตยกรรมไทยเป็นแม่แห่งศิลปกรรมทั้งปวง เพราะในตัวงานสถาปัตยกรรมไทย เป็นที่ปรากฏแห่งศิลปกรรมแทบจะทุกแขนง (งานช่างสิบหมู่) และศิลปกรรมทั้งหลายนั้น ก็มิใช่ทำไปตามความคิดนึกอย่างเอกเทศ แต่ทำบนฐานความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ศิลป์ จึงจะทำให้งานศิลปกรรมดังกล่าวทำหน้าที่ร่วมกับตัวสถาปัตยกรรมได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ซึ่งมากไปกว่าการประดับประดาเพียงให้สวยงาม ตามที่บางท่านอาจเข้าใจกันไปเช่นนั้น[1]

ภาพ : ซุ้มทางเข้าเขตพระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม
งานสถาปัตยกรรมไทย โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี ต้องอาศัยบุคคลากรซึ่งเป็นผู้มีทักษะในทุกด้านของงานศิลปะสถาปัตยกรรมไทยมาร่วมกันทำงาน (เนื่องจากต้องอาศัยทักษะและฝีมือที่ต้องฝึกฝนเป็นเวลานาน) รวมถึงการใช้งบประมาณในการทำงานอย่างมากด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ (โดยเฉพาะในส่วนของวัสดุตกแต่งในงานแบบประเพณีที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง) การจะสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทย ให้ประณีตงดงามตามแบบอย่างงานช่างในอดีต จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ที่ต้องวางแผนการทำงาน โดยมีกรอบกรอบเวลาทำงาน กรอบกำไรขาดทุน และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งในสมัยก่อนไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ในการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทย แต่อาศัยศรัทธาเป็นตัวนำ ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่พระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ อีกทั้งยังมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ในการดังกล่าว การทำงานในกระบวนการก่อสร้างปัจจุบัน จึงค่อนข้างยากกว่าสมัยก่อน แต่อาจสามารถใช้กรอบเกณฑ์ทำนองเดียวกับการสร้างสถาปัตยกรรมทั่วไปได้เป็นกรณีๆ หรือบางขั้นตอน ตามความจำเป็น และความเห็นชอบของเจ้าของงานเป็นรายๆ ไป หากพยายามประสานประโยชน์แห่งกระบวนการทำงานศิลปกรรมเข้ากับกรอบความคิดสมัยใหม่นั้นได้ โดยไม่ยึดแต่กรอบวิธีสมัยใหม่แต่เพียงอย่างเดียว ก็อาจช่วยให้ผลลัพธ์ในงานสถาปัตยกรรมไทยไม่เกิดความเสียหายในท้ายที่สุด (//ทั้งนี้บ่อยครั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมไทย ที่มาจากงานก่อสร้างสมัยใหม่ จะไม่เข้าใจกระบวนการทำงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทย และคิดว่าสามารถลัดขั้นตอนได้ ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ของงานก่อสร้าง ต้องถูกลดคุณค่าในงานลงอย่างน่าเสียดาย//)

ภาพ : พระอุโบสถวัดราชาธิวาส สถาปนิก : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (สมเด็จครู)
จากที่กล่าวถึงข้างต้น งานสถาปัตยกรรมไทยเป็นงานที่อาศัยบุคลากรเฉพาะทาง เหตุเพราะงานประเภทวัดวาอาราม เป็นงานที่มีแบบแผนทางความคิดและการช่างไทย ที่ต้องอาศัยการบ่มเพาะเรียนรู้ ทั้งทักษะทางการออกแบบ บนฐานความรู้ความเข้าใจ ทั้งกระบวนการคิดและการจำประการหนึ่ง (//โดยการคิดและจำจะมาจากฐานการเรียนรู้ในระบบ ซึ่งสำคัญมาก//) กับทักษะทางฝีมือที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักอีกประการหนึ่ง อาศัยทักษะทั้งสองส่วนดังกล่าวเป็นฐานในการทำงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การออกแบบสร้างสรรค์ ที่ก่อให้เกิดการแตกหน่อต่อยอดมรดกทางศิลปกรรมสำคัญของชาตินี้ให้สืบสานต่อไปได้ ศิลปกรรมที่ประกอบงานสถาปัตยกรรม คือสิ่งที่แสดงคุณค่าสำคัญของงานชนิดนี้ หากทำได้ไม่ดีก็จะกลับกลายเป็นการลดทอนคุณค่าทางสถาปัตยกรรมโดยรวมลงอย่างน่าเสียดาย[2]

ภาพ : ลายไทย โดย รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ ที่ท่านต้องเขียนลายไทยทุกวัน ให้อยู่มือ
หากฝึกฝนในส่วนแรกได้เพียงอย่างเดียวก็อาจทำได้แต่เพียงเป็นนักคิด แต่ถ้าทำได้แต่เพียงส่วนหลังก็อาจทำได้เพียงนักเขียน(ลาย) ฉะนั้นการทำได้ทั้งสองส่วนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้สามารถเป็นสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างแท้จริง คือสามารถเขียนออกมาได้อย่างที่คิดบนฐานความรู้ความคิดและปรัชญาแห่งงานสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งสถาปนิกที่เรียนรู้ในด้านนี้ จำต้องอดทนในการฝึกฝนทักษะดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะสามารถฝึกฝนและทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสสอบถามการฝึกเขียนลายไทยกับ รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ ว่าอาจารย์มีแนวทางในการฝึกเขียนลายไทยอย่างไร อาจารย์ตอบว่า ต้องฝึกฝนให้มาก ต้องเขียนทุกวัน หยุดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมือจะแข็ง (หมายถึงลายเส้นจะไม่อ่อนช้อยคดโค้งได้ตามต้องการ-ผู้เขียน) แม้ทุกวันนี้อาจารย์ก็ยังเขียนทุกวันไม่เคยหยุด จะเห็นได้ว่าทักษะดังกล่าวมีความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงที่สุดทุกวันนี้ก็ยังคงต้องฝึกอยู่โดยตลอด แม้ว่าจะทำงานมาแล้วอย่างมากเพียงไรก็ตาม ก็ไม่อาจทิ้งกระบวนการฝึกฝนนี้ได้ ซึ่งหลายครั้งสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย มักจะถูกช่างทดสอบความสามารถในการทำงานเชิงทักษะ อาทิการปั้น หรือการวาดลาย หากไม่สามารถฝึกฝนจนทำให้ช่างเห็นได้ว่าสามารถทำงานได้จริง ก็อาจถูกปรามาสจากช่างว่า เป็นผู้ออกแบบที่ได้แต่พูด แต่ลงมือทำจริงๆ ไม่เป็น
//การเป็นผู้ออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยในปัจจุบัน อาจมีบางกรณีที่ผู้ออกแบบบางท่านทำงานในลักษณะหาคนมาเขียนให้ หัวหน้าทีมเป็นผู้บริหารสั่งการ และไม่มีทักษะในส่วนที่ต้องเป็นนักเขียน(ลาย) ซึ่งเป็นทักษะอันสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย ผู้เขียนเอง ได้มีโอกาสตรวจงานนักศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมไทยในมหาวิทยาลัยก็พบว่า แม้นักศึกษาจะมีความคิดที่ดี แต่เมื่อขาดทักษะการเขียนแล้ว ก็ไม่สามารถทำงานออกแบบให้ลุล่วงไปได้ตามต้องการ แต่ก็ยังดีที่ว่านักศึกษาไม่ไปหารุ่นพี่ที่มีทักษะการเขียนมาเขียนงานให้ตน นับว่ายังมีความละอายต่อการทำเช่นน้ัน ฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยปลอมๆ การฝึกฝนในทักษะทั้งสองส่วนจึงสำคัญยิ่งพอๆกัน//

ภาพ : การขยายแบบ 1:1 ในงานสถาปัตยกรรมไทย (ในภาพเป็นการขยายแบบ หน้าบัน พระมหาธาตุเจดีย์มงคลสิทธาจารย์ วัดตะโก จ.พระนครศรีอยุธยา สถาปนิก : วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ ขยายแบบโดย บริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด)
ทักษะการเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมไทย ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งที่คนโดยทั่วไปอาจไม่ทราบ คือการเรียนรู้ในการขยายแบบเท่าจริง หรือที่เรียกกันว่าแบบ 1 : 1 งานสถาปัตยกรรมไทยเป็นงานที่เสมือนต้องออกแบบสองโปรเจคในงานชิ้นเดียวกัน กล่าวคือ การออกแบบเพื่อนำแบบไปใช้ในงานก่อสร้างครั้งหนึ่งก่อน และการออกแบบขยายแบบศิลปกรรมเพื่อใช้สำหรับการทำงานศิลปกรรมประกอบอีกครั้งหนึ่ง โดยทั้งสองส่วนอาจใช้เวลามากพอๆกันก็เป็นได้ เพราะยิ่งตัวงานมีความละเอียดทางความคิดอันเกี่ยวเนื่องกับศิลปกรรมมากเท่าไหร่ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาทางการออกแบบและพัฒนาแบบมากเช่นกัน สถาปนิกหลายท่านไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องขยายแบบดังกล่าว แท้จริงแล้วการขยายแบบเป็นเครื่องมือทางความคิดอันสำคัญในการใช้กำกับควบคุมกระบวนการทางงานช่างให้ไม่ผิดเพี้ยน
ในงานสถาปัตยกรรมไทยนั้น อาจารย์ประเวศยังได้เคยให้ข้อคิดสำคัญไว้อีกส่วนหนึ่งว่า “การใช้สอยมีสองทาง การใช้สอยทางด้านพื้นที่อาคารหนึ่ง การใช้สอยอีกอย่างคือการตกแต่งศิลปศาสตร์เข้าไปในอาคาร..นี่ใช้สอยทางจิตใจ” และข้อคิดที่สำคัญซึ่งแสดงให้เห็นว่างานขยายแบบสำคัญมากคือ “อาจารย์ศิลป์บอกว่า ถ้างานศิลปะไม่เขียน 1 ต่อ 1 ..อย่าทำเลย” [3]
//ครั้งหนึ่งผู้เขียนทำงานออกแบบและขยายแบบศิลปกรรมเท่าจริง ได้มีบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการก่อสร้างแห่งหนึ่ง สอบถามว่า “ทำไมต้องขยายแบบด้วย ทำไมไม่ใช้แบบคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในแบบสำหรับก่อสร้างไปใช้เลย โดยนำไปปริ้นท์ขยายก็ได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว” ซึ่งก็อาจมีบางส่วนที่ทำเช่นนั้นได้บ้าง แต่โดยมากกระบวนการนี้ต้องทำการออกแบบใหม่ ปรับสัดส่วนรายละเอียดในเสกลจริง ซึ่งทำให้ขนาดและองค์ประกอบในงานเปลี่ยนไปจากต้นแบบพอสมควร และบางครั้งต้องเปลี่ยนทรงไปเนื่องจากการก่อสร้างที่หน้างานเป็นตัวกำหนดระยะใหม่ การอธิบายให้เข้าใจเป็นเรื่องที่ยาก แต่การทำให้ดูว่ากระบวนการออกแบบศิลปกรรมและขยายแบบ ส่งผลอย่างไรต่องานก่อสร้างในระหว่างทาง คือสิ่งที่ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนในเวลาต่อมา ก็ต้องขอขอบคุณที่เขาเปิดใจเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าผู้เขียนจะมีความรู้ไปทุกอย่าง ผู้เขียนก็รู้ในขอบเขตงานที่ทำอยู่เท่านั้น ส่วนเรื่องการบริหารจัดการงานก่อสร้างก็ยังต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันจัดการ ท้้งนี้ ต้องทำความเข้าใจร่วมกันในกระบวนการก่อสร้างทางไทย ว่าขั้นตอนไหนต้องใช้เวลา ขั้นตอนไหนสามารถลัดเวลาได้ ในการทำงานศิลปะสถาปัตยกรรมไทยนับแต่อดีต เราไม่ได้ทำสถิติเสร็จไวที่สุด เพราะงานศิลปกรรมสำคัญของโลกไม่ได้ทำงานบนปัจจัยด้านเวลาอันเร่งรีบ แต่เข้าใจกรอบการคิดและการทำงานที่มีต้นทุน ซึ่งจะต้องหาทางออกร่วมกันอย่างเหมาะสม//

ภาพ : หลังจากทำแบบขยาย 1:1 แล้ว จะต้องตรวจการติดต้ัง เพื่อเช็คความถูกต้อง และค่าคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น และปรับแก้ไขให้อยู่ในระยะที่เหมาะสม (ในภาพเป็นการตรวจงานศิลปกรรมต้นแบบ โดย บริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด)
สำหรับงานศิลปกรรมแล้ว ระยะเซ็นติเมตรในงานศิลปกรรมมีความสำคัญอย่างมาก และอาจส่งผลต่อความเสียหายในศิลปกรรมประกอบได้ หากไม่ทำแบบขยายให้กับงานออกแบบสถาปัตยกรรมชิ้นนั้น จักถือว่างานไม่แล้วเสร็จ นี่คือคำครูที่ชี้ชัดว่าเราไม่อาจยกงานขยายแบบดังกล่าวไปให้ช่างหรือผู้รับเหมาทำเองได้ เพราะงานดังกล่าวยังถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญทางความคิดของผู้ออกแบบ (//ที่สำคัญเป็นลายมือที่เป็นแบบจำเพาะของแต่ละผู้ออกแบบ//) ดำเนินการให้แล้วเสร็จต่อเนื่องไปกับแบบสถาปัตยกรรมโดยภาพรวมด้วย จึงจะถือได้ว่าสถาปนิกได้ทำงานชิ้นนั้นสำเร็จโดยสมบูรณ์ สิ่งที่อาจารย์กล่าวไว้นั้น (//อ.ประเวศ//) สอดคล้องกับข้อเขียนข้างต้นที่ผู้เขียนอธิบายไปในส่วนของการทำงาน ที่เสมือนเป็นสองโครงการในงานชิ้นเดียว และความสำคัญเชิงทักษะจะเป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานในส่วนของศิลปะสำเร็จสมบูรณ์ได้ในที่สุด หาไม่แล้วเราก็ต้องไปยืมมือคนอื่นมาทำแทน เพราะเราเขียนลายไม่เป็น และนั่นย่อมอาจจะกล่าวได้ว่า เราไม่ได้เป็นสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย เพราะเราไม่ได้ทำจนจบกระบวนการของงานไทยด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
//ในการทำงานจริง เคยมีผู้ให้คำแนะนำผู้เขียนว่า ไม่จำเป็นต้องขยายแบบเอง เราออกแบบแล้ว งานออกแบบขยายแบบศิลปกรรม ให้ยกไปให้ผู้รับเหมาทำเสีย เราแค่ตรวจงานที่เขาทำมา ว่าถูกต้องและถูกใจหรือไม่ เพื่อให้เราสามารถทำงานอื่นๆ ต่อไปได้อีกหลายๆชิ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้งานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยกับครูช่าง หรือระบบการเรียนรู้ทางไทยโดยตรง จะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของขั้นตอนการทำงานในกระบวนการออกแบบศิลปกรรม ขยายแบบศิลปกรรม และตรวจงานขึ้นต้นแบบ ติดตั้ง และเก็บงาน กระบวนการนี้ไม่อาจแบ่งแยกออกจากการออกแบบได้ เปรียบเทียบว่า งานออกแบบสถาปัตยกรรมเป็นเหมือนร่างกาย งานออกแบบศิลปกรรมและขยายแบบเป็นเหมือนลมหายใจ เป็นสองส่วนที่เป็นเนื้อเดียวกันที่แยกออกจากกันไม่ได้ เราไม่อาจเอาลมหายใจคนอื่นมาหายใจแทนเราได้ ถ้าแยกออก งานนั้นก็หมดคุณค่าและคุณสมบัติทางศิลปสถาปัตยกรรมอันสมบูรณ์ไปทันที ทั้งนี้ขอให้ย้อนไปอ่านคำครู อ.ดร.ประเวศ ลิมปรังษีในย่อหน้าก่อนอีกครั้ง//
จะเห็นได้ว่าการศึกษาหาความรู้และทักษะฝีมือ ที่ต้องฝึกฝนตามแนวทางที่ครูงานสถาปัตยกรรมได้สอนไว้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักหนาสำหรับผู้สนใจในการเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีอยู่ไม่น้อย แต่หากสถาปนิกที่สนใจในการออกแบบงานพุทธสถาปัตยกรรม ที่ไม่มีทักษะดังกล่าว ก็อาจทำการออกแบบให้เป็นไปในลักษณะสถาปัตยกรรมไทยแบบประยุกต์ หรือสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยได้ เพียงผู้ออกแบบได้ศึกษาความรู้ในงานสถาปัตยกรรมไทย และหลักแห่งการออกแบบอาคารแต่ละชนิดให้เข้าใจ ก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาดทางการออกแบบได้ อาทิ เรื่อง พุทธบัญญัติ,พื้นที่สังฆกรรม,สีมากถา เป็นต้น นอกจากนั้นการเข้าใจในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ ก็สำคัญต่อการออกแบบพื้นที่บางประเภทด้วยเช่นกัน เช่นพื้นที่สำหรับการเดินจงกรมในหลักการปฏิบัติของพระสายปฏิบัติภาวนา จะกำหนดทั้งทิศทางและความยาวของพื้นที่ไว้ด้วย เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล ฉะนั้นการออกแบบเพียงเพื่อความงาม เช่นทางเดินจงกรมเป็นวงกลม แม้ว่าจะไม่ผิดในทางความคิดของการออกแบบ แต่งอาจผิดหลักของการปฏิบัติที่แท้จริงได้ เป็นต้น
รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยนั้น ต้องให้อยู่ในฉันทลักษณ์ที่มีลักษณะบางประการที่ต้องรักษาไว้ เป็นภาคบังคับส่วนหนึ่ง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการใช้สอยหรือเทคโนโลยีไปบ้าง แต่ฉันทลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรมไทยนั้นต้องรักษารูปลักษณ์เดิมไว้[4] การเรียนรู้ศาสตร์วิชาสถาปัตยกรรมไทยนี้แม้จะมีสอนในระดับมหาวิทยาลัย แต่ระยะเวลาในการฝึกฝนก็น้อยเกินกว่าจะเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้ และต้องฝึกฝนต่อเนื่องเสมอ[5] ข้อมูลนี้จะเห็นได้ชัดว่า ผู้เขี่ยวชาญในงานสถาปัตยกรรมไทย เห็นว่างานชนิดนี้อาจปรับเปลี่ยนการใช้งานและการก่อสร้างได้ แต่ยังจำเป็นต้องรักษาลักษณะรูปแบบบางประการของงานไว้ ไม่ให้ผิดเพี้ยน ส่วนหนึ่งผู้เขียนคิดว่า เพราะเป็นงานที่ควรสืบสานและต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ ดังที่ครูงานสถาปัตยกรรมไทยหลายๆ ท่านพาดำเนินมาตลอดทุกยุคทุกสมัย

ภาพ : งานตามแบบแผนประเพณี ที่รักษาและสืบทอดศิลปสถาปัตยกรรมไทยแบบดั้งเดิม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์)
พัฒนาการทางด้านรูปแบบและการใช้สอยในงานก่อสร้างอาคารเนื่องในพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน จะมีความแปลกแตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนมากในปัจจุบัน ในความเห็นของผู้เขียนนั้น คิดว่าความแปลกใหม่นั้นมาจาก การออกแบบตามความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องในงานก่อสร้างทั้งเจ้าของวัด เจ้าของเงิน เป็นผู้ขับเคลื่อนเอง โดยอาจมิได้มีทราบถึงองค์ความรู้ที่เป็นฐานทางการออกแบบในระบบ School. (//School of Thai Architecture//)
1.การออกแบบบนฐานความคิดที่ตั้งอยู่บนปรัชญาของงานออกแบบตามแบบแผนพุทธศิลปสถาปัตยกรรมไทยอย่างที่เคยดำเนินมา (ทั้งงานช่างหลวง และงานพื้นถิ่นที่มีการตลกผลึกความรู้ความคิดในศาสตร์ศิลป์มาอย่างยาวนาน โดยอาจเห็นการทำงานเป็นอีกสองกลุ่มย่อยคือ
1.1กลุ่มที่พยายามรักษาสืบสานงานช่างไทยที่มีมาแต่เดิมมิให้ผิดเพี้ยนไปจากงานครู
1.2กลุ่มที่พยายามต่อยอดการออกแบบ ซึ่งมีฐานแห่งเอกลักษณ์ทางศิลปสถาปัตยกรรมไทยของงานครูเป็นสำคัญ แต่ต้องการค้นหาสิ่งใหม่ให้เกิดการสืบสานสร้างสรรค์ต่อไป
โดยในหมวดย่อยทั้งสองกลุ่ม ได้รับการศึกษาจากสกุลช่างโดยตรงในสถาบัน หรือองค์กรที่มีการสืบสานองค์ความรู้ในงานสถาปัตยกรรมไทย สืบต่อมาโดยไม่ขาดสาย จึงยังทำให้รูปแบบของงานสถาปัยตยกรรมไทยยังไม่ผิดไปจากฉันทลักษณ์ดังที่ รศ.ดร.ภิญโญ กล่าวไว้ แม้สมัยโบราณงานช่างศิลปกรรม จะดำเนินการโดยการคิดการสร้างของพระ หรือเจ้าอาวาสในวัด แต่ล้วนเป็นพระช่าง ที่มีการเรียนรู้สืบทอดจากครูช่างศิลปกรรมมาโดยตรง จึงมีฐานความรู้ความคิดที่ตั้งอยู่ในกรอบสำคัญแห่งการสร้างสรรค์ ต่อมาภายหลังความรู้ส่วนนี้ได้ถูกยกออกไปไว้ในกลุ่มสกุลช่าง หรือองค์กรสถาบันการศึกษาแทน คงเหลือเพียงให้พระเป็นผู้ดูแลศาสนสถาน และจักต้องดูแลด้วยความรู้ความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าว ไม่เกิดการทำลายมรดกเหล่านั้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจต้องมีการถวายความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ท่านรับทราบถึงความสำคัญดังกล่าว
2.กลุ่มที่ออกแบบพุทธสถาปัตยกรรม ซึ่งไม่ได้รับการศึกษาในงานสถาปัตยกรรมไทยโดยตรง ย่อมคิดและทำแบบเพื่อการก่อสร้างไปตามความคิดหรือจินตนาการส่วนบุคคล หรือบางครั้งอาจมีจุดมุ่งหมายมุ่งไปที่การสร้างความเร้าใจ หรือความน่าตื่นเต้น ให้แก่ผู้คนที่มาศาสนสถานได้ปักหมุดบนโซเชียล เป็นกระแสในวงกว้าง ซึ่งมีทั้งอาคารที่ยังเนื่องในพระพุทธศาสนา และเกี่ยวข้องกับลัทธิความเชื่ออื่นๆ ทั้งนี้ตามจริง การจะสร้างสถานที่ให้เป็นกระแสนิยม ย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของสถานที่นั้นๆ แต่หากบทบาทหน้าที่ของสถานที่ดังกล่าวเป็นเช่นไร ก็ควรที่จะรักษาบทบาทหน้าที่นั้นให้ยังดำรงอยู่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การใช้งานอย่างที่ควรจะเป็นก่อนเป็นลำดับแรก (//ทั้งนี้ บางท่านอาจมีการศึกษาหาความรู้ส่วนตัวเพิ่มเติม ในศาสตร์ศิลป์ จนสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ก็สามารถรักษาความงามและคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมไทยไว้ได้//)

ภาพ : งานออกแบบในแนวทางที่ต้องการต่อยอดจากแบบแผนประเพณี สถาปนิก บริษัท พีพลัสไทย สตูดิโอ จำกัด
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์ทางสถาปัตกรรมนั้นแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อความศรัทธา ที่นอกเหนือไปจากพุทธศาสนามาผสมผสานในเขตพุทธสถาปัตยกรรมด้วย อาจกล่าวได้ยากว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ หากเพราะอาคารในลักษณะนี้เกิดขึ้นสนองตอบศรัทธาแห่งผู้คนที่มีต่อความคิดความเชื่อที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน และดูเหมือนความคิดความเชื่อที่เคยแยกพื้นที่อย่างชัดเจนในสมัยก่อน ได้พากันเชื่อมเข้าหากันมากขึ้น ทำให้เราอาจเห็นศิลปกรรมในพุทธสถานมีความหลากหลายมากขึ้น ตามไปด้วย
ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า ควรมีการจัดการพื้นที่ภายในพุทธสถานทั่วไป ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พื้นที่สำคัญเช่นเขตพุทธาวาส ควรให้ความสำคัญต่อองค์พระพุทธเจ้าด้วยความเคารพศรัทธาเป็นสำคัญ หากจะมีสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดความเชื่อในลัทธิอื่นควรแยกออกไป หรือหลบไปอยู่ในบริเวณที่ไม่รบกวนความสำคัญของความเป็นเขตพุทธาวาส เฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่พุทธพาณิชย์ที่มีค่อนข้างมากในปัจจุบัน ไม่ควรรบกวนพุทธศาสนิกชนที่เข้าไปกราบสักการะบูชาพระพุทธรูปสำคัญในพื้นที่นั้น หรือหากจะเป็นรูปเคารพเทพเจ้าต่างศาสนา ก็ควรหาสถานที่หรือบริเวณสำหรับประดิษฐานที่เหมาะสมเรียบร้อย ส่วนรูปแบบอาคารอาจสัมพันธ์ไปกับลัทธิความเชื่อนั้นได้ แต่ไม่ก่อให้เกิดมลทัศน์ทั้งเชิงรูปแบบ และบริบทโดยรวมของสถานที่นั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือศิลปกรรมสำคัญของสถานที่นั้น ควรพิจารณาอย่างมากในการออกแบบให้เกิดความเหมาะสม หรือควรมีผู้ออกแบบที่มีความรู้ความเข้าใจในสาขาวิชาชีพนี้โดยตรงมาช่วย เพื่อมิให้เกิดความเสียหายในภาพรวม

ภาพ : พระอุโบสถ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก สถาปนิก ศาสตราภิชาน พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ
งานสถาปัตยกรรมไทยในปัจจุบันส่วนหนึ่ง อาจเกิดการออกแบบโดยเจตนาดีที่จะสร้างการผสมผสานความรู้ทางตะวันตกเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดงานสถาปัตยกรรมไทยแบบใหม่ๆ ตามความเจริญก้าวหน้าที่เป็นไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะสมเด็จครูได้เคยกล่าวถึงข้อพึงระวังและความสำคัญของผู้ออกแบบไว้อย่างน่าคิด กล่าวคือ คนไทยเองพยามจะให้เป็นการผสมผสานระหว่างไทยและเทศ จนทำให้เกิดเป็น “สถาปัตยกรรมไทยแบบพันทาง” ขึ้น ด้วยความคิดว่าทันสมัย ความเห็นของพระองค์ปฏิเสธแนวคิดนี้ ด้วยเห็นว่า การจะนับว่าเป็นแบบแผนของชาติใดที่แท้จริงนั้น ย่อมต้องงอกหรือพัฒนาขึ้นจากพื้นฐานหรือต้นรากเดิมทางวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ หาใช่เป็นการผสมปนเปกันไม่[6]
แนวคิดของสมเด็จครูอาจจะดูว่าเป็นการเข้มงวดต่อการออกแบบอยู่พอสมควร คิดว่าเป็นแนวทางที่สำคัญต่อการพัฒนางานสถาปัตยกรรมไทยในปัจจุบัน เฉพาะในส่วนงานสำคัญที่ยังจำเป็นต้องรักษาลักษณะแห่งความเป็นไทยไว้ และผู้เขียนเห็นว่าแนวคิดในการผสมผสานลักษณะสถาปัตยกรรมอย่างตะวันตก (//หรือในถิ่นใดก็ตาม//) ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้สำหรับงานที่มิได้มีบริบทที่จำเป็นขนาดนั้น เพียงแต่ต้องมีความเข้าใจในเรื่องสถาปัตยกรรมไทยและฉันทลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรมไทย ผสมผสานให้เห็นได้ว่า เกิดการต่อยอด ไม่กลายพันธุ์ไป จนขาดเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมไทยที่ดี อันควรมีไปอย่างน่าเสียดาย หาไม่แล้วงานชิ้นนั้นก็อาจไปตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ได้ในโลก หากผู้ออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทย เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาเรียนรู้ในแขนงวิชาเฉพาะทางนี้มาบ้าง ก็เชื่อว่าจะทำให้การออกแบบ พัฒนาเป็นไปโดยไม่เสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรมส่วนนี้ เพราะจะเข้าใจว่าสิ่งใดดี สิ่งใดเลว สิ่งใดควรออกแบบ สิ่งใดไม่ควรออกแบบ ด้วยเพราะมีตาที่แม่นยำ ส่งผลดีต่อทั้งเนื้อหาและรูปแบบในงานที่ทำได้ ดังที่สมเด็จครูท่านได้เปรียบไว้ว่า
“ช่างดี ช่างเลว จะมองเห็นข้อดีข้อเสียในงานได้ไม่เหมือนกัน ช่างดีย่อมเห็นข้อควรตำหนิในงานได้ ส่วนช่างเลวเมื่อดูไม่ออก ก็บอกไม่ได้ว่าจะต้องไปแก้ไขงานอย่างไร หรือมิบางครั้งอาจมองงานดีเป็นงานเลวเอาได้เหมือนกัน ด้วยขาดความรู้ความเข้าใจต่อศิลปะอันดีงาม”[7]
หมายเหตุ ข้อความในเครื่องหมาย //….// คือเนื้อความที่เขียนเพิ่มเติมจากรายงานเพื่อลงในเว็บไซต์
[1] ประกิจ ลัคนผจง, สถาปัตกรรมไทย คุณค่าแบบไทยทำไมต้องไทยแบบนี้ ใน ปริภูมิคดี ฉบับที่ 3 ,จุลสารสถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทย,คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์,มหาวิทยาลัยศิลปากร,( มกราคม-มิถุนายน 255),20-23.
[2] อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประกิจ ลัคนผจง, คุณค่าในงานศิลปกรรม ใน ศิลปกรรมการช่างวัดอรุณราชวราราม (กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์ปริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน), 2557),16-23.
[3] สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร , หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพนายประเวศ ลิมปรังษี,(กรุงเทพฯ : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์( 1977)จำกัด,2561) ,259-278.
[4] ปิยนุช สุวรรณคีรี และ ประกิจ ลัคนผจง บรรณาธิการ , ชีวิตและผลงาน รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ,(กรุงเทพฯ :บริษัทอมรินทร์ปริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน), 2561),33.
[5] เล่มเดียวกัน หน้า 46.
[6] สมคิด จิระทัศนกุล ,งานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยฝีพระหัตถ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ภาคต้น.(กรุงเทพฯ : พิมพลักษณ์,2556) 247.
[7] เล่มเดียวกัน หน้า 238.
ข้อมูล : ประกิจ ลัคนผจง
ข้อมูลข้างต้น นำมาจากการทำรายงานเพิ่มเติม จากการส่งผลงานออกแบบเพื่อขอเลื่อนระดับวิชาชีพสถาปนิกจากชั้นภาคีไปเป็นชั้นสามัญ โดยยื่นเรื่องเสนอต่อสภาสถาปนิก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ได้รับการสอบสัมภาษณ์เดือนธันวาคม พ.ศ.2565 (สภาสถาปนิกให้ทำรายงานประกอบผลงานเพิ่มเติม ส่งรายงานครั้งแรก เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 มีการขอให้แก้ไขรายงานและส่งใหม่อีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ.2567) ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้นพฤษภาคม พ.ศ.2567 และรับใบอนุญาต สิงหาคม พ.ศ.2567
TAG: