สถาปัตยกรรมไทย : การสร้างสรรค์จากมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น
สถาปัตยกรรมไทย การสร้างสรรค์จากมรดกวัฒนธรรม้องถิ่น เป็นข้อมูลที่เขียนไว้เมื่อปี 2552 เนื้อหาบางส่วนเชื่อว่ายังเป็นประโยชน์แก่การอ่าน จึงขอนำลงไว้ตามต้นฉบับเดิมดังนี้
ปัจจุบันนี้ ชุมชนท้องถิ่นแต่ละแห่งได้มีแนวคิดในการหันกลับมามองมรดกวัฒนธรรมชุมชนกันมากขึ้น เกิดกระแสตื่นตัวในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น หนึ่งในหลายภาคส่วนที่ก่อให้เกิดสภาวะการณ์ดังกล่าวนั้น คงต้องนับว่ามีสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย ดังจะเห็นได้จากการจัดโครงการที่เกี่ยวเนื่องในการกระตุ้นให้ท้องถิ่นต่าง ๆ หันกลับไปมองชุมชนของตนเอง อย่างพินิจพิเคราะห์ถึงศักยภาพต่าง ๆ ที่ทุกพื้นที่มี เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการ ทั้งเพื่อการรักษาสิ่งดีที่มีอยู่เดิม และการต่อยอดภูมิปัญญาที่มีอยู่ให้งอกงามสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน อาทิเช่น โครงการ “การจัดการภูมิทัศน์วัฒนธรรม”[1] ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ให้ความรู้แก่ชุมชนในการบริหารจัดการชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดบนรากฐานของต้นทุนทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่แต่ละชุมชนมี ซึ่งสิ่งที่ชุมชนหลายแห่งให้ความสนใจในการจัดการคือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งหากมีคุณค่าอันเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์แล้ว ย่อมเรียกได้ว่าเป็น สถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกของท้องถิ่นได้ จึงต้องอาศัยการจัดการอย่างมีหลักวิชาและมีกรอบการจัดการที่แยกไปตามแต่ละลักษณะของท้องถิ่นนั้น ๆ [2]

ภาพ : ซ้าย :กุฏิหลวงปู่เทศก์ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย มีการดึงมรดกวัฒนธรรมของท้องถิ่น เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในกระบวนการออกแบบ สถาปนิก ประเวศ ลิมปรังษี / ขวา :เจดีย์วัดบูรพาราม จังหวัดหนองบัวลำภู ที่สร้างสรรค์โดยนำมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในกระบวนการออกแบบ สถาปนิก ฤทัย ใจจงรัก
สถาปัตยกรรม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด การก่อสร้างงาน สถาปัตยกรรมท้องถิ่นใด ๆ ลงในพื้นที่ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่มีความสำคัญในด้านศิลปวัฒนธรรมหรือพื้นที่ประวัติศาสตร์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่การสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมจะต้องคำนึงถึงบริบทแห่งพื้นที่อันเป็นจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมใหม่ ที่สอดคล้องกับแก่นแกนทางวัฒนธรรมเดิมที่มีมา ในที่นี้จะขอยกงานสถาปัตยกรรมประเภทพุทธสถาปัตยกรรมในวัดขึ้นเป็นหัวข้อหลักในการที่จะนำมาอธิบายกันต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวพันกับมรดกทางวัฒนธรรมที่มีการสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ทั้งมีรูปแบบที่สืบทอดการสร้างสรรค์ต่อมาโดยไม่ขาดสาย และบางส่วนของการสร้างขึ้นนั้น หากมองอย่างกว้าง ๆ ในทุกระดับการสร้างสรรค์ ก็จะเห็นได้ว่ามีงานหลายชิ้น ซึ่งปรากฏมีลักษณะผิดแปลกจากหลักวิชาอยู่พอควร ทั้งนี้หากได้มีการอธิบายกันอย่างง่าย ๆ ให้ผู้ที่มีความสนใจในงานพุทธสถาปัตยกรรมได้ทราบถึงหลักการในการสร้างสรรค์งานพุทธสถาปัตยกรรมไทยจากมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ที่แตกหน่อต่อยอดจากรากวัฒนธรรมเดิมได้บ้างไม่มากก็น้อย
โดยปกติแห่งการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมสักชิ้นหนึ่งนั้น ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการด้วยกัน ปัจจัยบางอย่างอาจทำให้เกิดลักษณะสถาปัตยกรรมที่มีความคล้ายคลึงกันได้แม้จะอยู่ต่างพื้นที่กัน เช่นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่ปัจจัยบางประการที่แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายกัน แต่กลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป ก็เพราะมีกรอบบางอย่างที่กำกับไว้ นั่นคือ วัฒนธรรม และการที่จะก่อเกิดเป็นกรอบเช่นนั้นได้ ต้องอาศัยกระบวนการทำงานที่สืบทอดสร้างสรรค์กันมาในกลุ่มคนที่มีบทบาทหน้าที่ในการก่อสร้างจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีปรัชญาของการทำงานในลักษณะที่เป็นแบบแผนที่เรียกว่าวัฒนธรรมท้องถิ่น หากเป็นการสร้างสรรค์พุทธสถาปัตยกรรมประเภทวัดวาอารามก็ยังมี ภูมิปัญญาแห่งพุทธธรรมเป็นเครื่องรองรับอีกส่วนหนึ่งด้วย[3] แม้ว่าบางท่านอาจจะกล่าวว่าสิ่งที่เกี่ยวพันกันในงานศิลปะนั้นดูจะมีการปะปนกัน ทั้งพุทธและพราหมณ์ ก็อาจต้องยอมรับคำกล่าวนั้น เพราะบริบททางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยผลักดันให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น แต่อย่างไรเสียพุทธธรรมก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำกับหรือล้อมกรอบทั้งหมดนั้นไว้[4] และการสร้างสรรค์งานพุทธสถาปัตยกรรมที่เห็นกันว่ามีลักษณะทรวดทรงที่อ่อนช้อยและมีการตกแต่งประดับประดาที่งดงามนั้น ยังมีสาระแห่งพุทธวัฒนธรรมเป็นตัวรองรับอยู่ทั้งสิ้น และเราจะเห็นได้ว่าในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งในภูมิภาคเดียวกันและต่างภูมิภาคกันนั้น จะมีลักษณะรูปแบบและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ทั้งนี้เพราะงานสถาปัตยกรรมไทยนั้นกอรปไปด้วยกระบวนสร้างสรรค์ทั้งที่เป็นเอกลักษณ์ และสัญลักษณ์ ควบคู่กันไป โดยมีกระบวนการตีความค่าความหมายที่เกี่ยวข้องนั้นไปสู่งานออกแบบสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันตามเงื่อนไขของสังคมวัฒนธรรมในแต่ละถิ่นที่และช่วงเวลา[5] โดยสาระสำคัญที่อยู่ภายใต้รูปแบบทางสถาปัตยกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ขอให้ท่านผู้สนใจได้ไปศึกษาค้นคว้ากันเพิ่มเติม[6] เพื่อให้เข้าใจงานสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างถ่องแท้ ก็จะมีส่วนทำให้งานสร้างสรรค์แห่งพุทธสถาปัตยกรรมตั้งอยู่บนฐานปรัชญาที่บรมครูท่านต่าง ๆ ได้ปฏิบัติสืบกันมาจนถึงปัจจุบัน หากมีการสร้างสรรค์ต่อไปจากงานแบบแผนเดิม ก็จะไม่หลงทิศผิดทาง
การออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมดี ๆ บนรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมของชุมชนนี้เอง คือแนวทางแห่งการคิดสร้างสรรค์ผลงานที่จะมีคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมของชุมชนต่อไป[7]
สิ่งที่เป็นปัจจัยอันก่อให้เกิดงานสถาปัตยกรรมที่ดี นับแต่อดีตมาได้มีผู้กล่าวถึงหลักการในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมไว้นานมาแล้ว ว่าควรตั้งอยู่บนปัจจัยสำคัญสามประการดังต่อไปนี้[8]
– มีการใช้สอยได้ดีเหมาะสม
– มีความมั่นคงแข็งแรง
– มีสุนทรียภาพ ทางความงาม
ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่าการสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ดีบนรากฐานแห่งมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น บางครั้งยังจะต้องมีปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ
– ความรู้สึกเป็นเจ้าของและภาคภูมิใจร่วมกันของชุมชน
ทั้งนี้จะขอไล่เรียงอธิบายไปเป็นลำดับโดยสังเขป ดังนี้ เรื่องแรกเป็นเรื่องของการใช้สอยที่ดี เหมาะสมซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการออกแบบงานสถาปัตยกรรมเลยก็ว่าได้ เปรียบเสมือนการสร้างภาชนะสักชิ้น ที่ต้องดูว่าจุดประสงค์ของการใช้งานเป็นอะไร ใส่ของแบบไหน ใหญ่หรือเล็ก สั้นหรือยาว ก็จะทำให้รูปลักษณ์ของภาชนะนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ต้องกล่าวว่าใช้งานได้จริง ดูแลรักษาได้ สอดคล้องกับพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตของผู้ใช้สอยอาคาร เพราะสถาปัตยกรรมไม่ใช่ฉากละคร ไม่ได้สร้างไว้ดู แต่สร้างไว้ใช้ และบางครั้งก็ไม่ได้สร้างไว้ใช้ทางกาย แต่ยังสร้างไว้ใช้ทางใจด้วย เรื่องถัดมาคือความมั่นคงแข็งแรง อันเป็นเรื่องของเทคนิคการก่อสร้าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะมาคิดกันภายหลัง เพราะการออกแบบต้องเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับเทคนิควิธีในการก่อสร้างด้วย โดยปกติแล้วแต่ละท้องถิ่นจะมีภูมิปัญญาด้านการก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปควรแก่การรักษาไว้ แต่ปัจจุบันบางครั้งอาคารใหม่ ๆ อาจมีพื้นที่ใช้งานหรือรูปแบบอาคารที่มีลักษณะพิเศษ หรือมีความซับซ้อนในแง่ของการใช้สอย ก็อาจต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่จากภายนอกเข้ามาประกอบ แต่ทั้งสองประเด็นดังกล่าวข้างต้นนั้นยังไม่ทำให้ตัวอาคารมีคุณค่าโดยสมบูรณ์ได้ ต้องผนวกเข้ากับปัจจัยสำคัญประการถัดมา คือ สุนทรียภาพและความงาม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่แสดงความโดดเด่นของตัวอาคาร แต่ปัจจัยนี้ต้องอาศัยทักษะความรู้และประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบสร้างสรรค์เฉพาะตัวของผู้ออกแบบจึงจะได้ผลงานที่ดี ทั้งสามปัจจัยดังกล่าวมานั้น มีมรดกทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น ที่จะเป็นเสมือนวัตถุดิบให้ผู้ออกแบบสามารถเลือกสรรกลั่นกรองสิ่งที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาใช้ได้อย่างหลากหลายและสร้างสรรค์ ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้เป็นการปฏิเสธมรดกทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ภายนอกท้องถิ่น แต่หากเรามีความเข้าใจตัวตนของเราดีพอ เราก็จะสามารถนำสิ่งดีอื่นๆ มาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตนได้ มิใช่นำมากลบลบมรดกเดิมจนสูญสลายไป หากเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้งานสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ในปัจจุบันสามารถสะท้อนออกซึ่งปัจจัยด้านนี้ได้ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ จะขอให้ดูจากกรณีศึกษาที่จะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า
ส่วนประการสุดท้ายนั้นเป็นปัจจัยที่หลายคนไม่ได้นึกถึง แต่หากเราต้องการได้มาซึ่งสถาปัตยกรรมดี ๆ ของชุมชนสักชิ้น นี่คงเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะงานสถาปัตยกรรมของท้องถิ่นที่มีความสำคัญหรือคุณค่าดีๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ออกแบบจะไปอุปโลกให้เป็นได้ แต่ต้องเกิดจากการยอมรับของผู้ใช้งาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในชุมชน จะเป็นสิ่งที่ดีมากหากคนในท้องถิ่นได้ร่วมรับรู้และมีส่วนร่วมคนละเล็กละน้อย เช่นการสร้างโจทย์ของการออกแบบ จากความต้องการใช้งานที่แท้จริงในอาคารนั้นของทุกคนที่เกี่ยวข้อง มากบ้างน้อยบ้างตามความเหมาะสม หรืออาจมีส่วนร่วมในบางกระบวนการของการออกแบบ ส่วนใดที่เป็นขั้นตอนเฉพาะของผู้ออกแบบ ก็ต้องปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของผู้รู้หลักวิชานั้นดำเนินการ การที่มีเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ได้มีโอกาสทำงาน จะทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่าผลงานดังกล่าวเป็นผลงานเฉพาะบุคคล ฉะนั้นการเปิดช่องทางให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานจะทำให้เกิดความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของ และภาคภูมิใจกับผลงานที่ปรากฏ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการออกแบบสร้างสรรค์ในปัจจุบันที่ อาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร(ศิลปินแห่งชาติ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสถาปัตยกรรมไทย ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร) ได้เคยพูดถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนไว้เช่นกัน รวมทั้งยังให้ข้อคิดอีกว่า การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดีต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ชุมชน ซึ่งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ผู้ออกแบบทั่วไปก็คำนึงถึงอยู่แล้ว แต่ความสอดคล้องเหมาะสมไม่ใช่ความสอดคล้องที่ผู้ออกแบบคิดเองแต่ฝ่ายเดียว แต่ต้องเกิดจากชุมชนด้วย แม้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่หากถ้าเกิดขึ้นแล้ว ก็จะก่อให้เกิดการร่วมดูแลรักษา และนำมาซึ่งความร่วมไม้ร่วมมืออีกหลายประการต่อไปในอนาคต

ภาพ: ความร่วมไม้ร่วมมือของชาวบ้านในขั้นตอนของการก่อสร้าง หรือบูรณะงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของชุมชน จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ในงานนั้น
การทำงานออกแบบสร้างสรรค์สร้างสรรค์นั้น โดยพื้นฐานที่สถาปนิกซึ่งทำงานในด้านนี้จะต้องคำนึงถึงนั้นอาจสามารถสรุปเป็นแผนภาพเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้[9]

ภาพที่ : ผังแสดงปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องในการออกแบบสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมไทย : การสร้างสรรค์จากมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น ในส่วนของการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยมีกรอบทางวัฒนธรรมที่ทำให้การเสนอสาระทางสถาปัตยกรรมผ่านรูปทรงและองค์ประกอบมีแบบแผนและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบดังแผนภาพข้างต้น ที่อาจดูเหมือนจะค่อนข้างยากในการเริ่มต้นทำการออกแบบ แต่หากริเริ่มอย่างเป็นขั้นตอนก็จะสามารถกระทำได้ โดยเราสามารถมองงานออกแบบให้อยู่บนกระบวนการพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนได้สองประการดังนี้คือ
กระบวนการที่หนึ่งคือ ความเข้าใจในองค์อาคารของงานสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีวิธีการในการศึกษาเพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบง่าย ๆ คือ การมองตัวงานสถาปัตยกรรมออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้คือ ส่วนชั้นหลังคา ส่วนชั้นพื้น และส่วนชั้นฐาน[10] ซึ่งการดูแบบแยกเป็นส่วนนี้ทำให้ง่ายต่อการพิจารณารายละเอียดอื่น ๆ และเมื่อพิจารณาดูอย่างแยกส่วนแล้ว ก็ต้องมองส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นให้เชื่อมโยงร่วมกันทั้งหมดด้วย เพราะจะนำไปสู่การออกแบบได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน โดยในส่วนเชื่อมโยงทรงโดยรวมของงานสถาปัตยกรรมไทยจะมีเส้นทรงจอมแหเป็นตัวกำกับทรงที่สำคัญ แต่ก็มิได้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว สามารถประยุกต์สร้างสรรค์ไปได้เพื่อให้เหมาะแก่การใช้สอยในลักษณะต่าง ๆ กัน ทั้งนี้หากนำองค์อาคารทั้งสามส่วนมาพิจารณาในเบื้องต้น ก็จะเป็นแนวทางที่ไม่ยากเกินไปนักที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ที่สามารถสะท้อนออกมาจากรากวัฒนธรรมท้องถิ่นได้

ภาพที่ 5 : การพิจารณาองค์อาคารออกเป็นสามส่วนสำคัญคือ ส่วนชั้นหลังคา ส่วนชั้นพื้น และส่วนชั้นฐาน
ที่มา: วนิดา พึ่งสุนทร,หน้าจั่ว ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ,กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2547,หน้า 42.
กระบวนการที่สองคือการนำมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่นมาปรับใช้กับการสร้างสรรค์ใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่กล่าวถึงในหัวข้อนี้จะเกี่ยวพันกับรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏบนองค์อาคาร อาทิ องค์ประกอบย่อย ๆ ในองค์อาคารใหญ่ทั้งสามส่วน ,การประดับตกแต่งทั้งลวดลาย ตัวภาพ และศิลปกรรมเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยฐานความรู้ทางด้านศิลปสถาปัตยกรรมอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ
สองประการข้างต้นเป็นหลักในรูปลักษณะของอาคาร แต่การออกแบบสถาปัตยกรรมไทยที่ดียังมีหลักวิชาประกอบอีกหลายส่วน[11] ซึ่งต้องคำนึงถึงในการออกแบบอยู่เสมอ นอกจากนี้การที่จะสามารถออกแบบสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยได้ดีมากน้อยเพียงไร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักลักษณะของสถาปัตยกรรมไทยของตนให้ดีเสียก่อน โดยต้องศึกษาสิ่งที่มีอยู่เดิมนั้นให้ถ่องแท้ เพื่อให้เข้าใจทั้งเนื้อหาสาระและรูปแบบที่ปรากฏเป็นตัวงานสถาปัตยกรรม วิธีที่ดีประการหนึ่งคือการเก็บรวบรวมฐานข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ แยกเป็นหมวดหมู่ หรือประเภทของเรื่องเหล่านั้นเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และสะดวกต่อการสืบค้น หากเราต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เราก็จะมีฐานข้อมูลสำหรับเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การออกแบบจากมรดกวัฒนธรรมประเภทศาสนสถานได้ หรือหากต้องการทำงานประเภทที่พักอาศัย เราก็จะมีฐานข้อมูลสำหรับการเรียนรู้เรือนพักอาศัยในแบบต่าง ๆ ของท้องถิ่นได้ ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ อาจมีทั้งที่เป็นกรอบกว้างและกรอบแคบ กรอบกว้างคือเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมแบบเดียวกัน เช่น วัฒนธรรมอีสาน แม้เราอาจกำลังต้องการทราบข้อมูลของชุมชนหนึ่ง แต่การมองในกรอบกว้างรอบ ๆ ชุมชนนั้น ก็จะทำให้มองเห็นชุมชนที่จะทำงานออกแบบสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นโดยอาศัยการเปรียบเทียบกับชุมชนอื่น ๆ ที่แม้อาจมีลักษณะร่วมโดยรวมที่คล้ายคลึงกัน แต่ลักษณะอันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยอาจมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และข้อมูลที่มีอยู่นั้นยังจะสามารถนำไปใช้อย่างกว้างขวางในลักษณะอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่นฐานข้อมูลทางสถาปัตยกรรม ก็ไม่จำเป็นที่จะถูกนำไปใช้เพียงแค่สำหรับการออกแบบงานสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ในปัจจุบัน หรือการซ่อมสงวนรักษาเท่านั้น แต่อาจนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ที่บางทีหลายคนอาจมองข้ามไป อาทิ เรื่องอันเกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น และการศึกษาเก็บข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรม ควรศึกษาถึงการเติบโตและพัฒนาการผ่านสังคมวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัยมาจวบจนปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่การออกแบบที่จะส่งผ่านไปสู่ยุคสมัยต่อไป ซึ่งเราคงต้องทราบก่อนว่าการก่อร่างสร้างรูปของตัวสถาปัตยกรรมนั้นอาศัยปัจจัยใดบ้าง เมื่อปัจจัยเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือรวมทั้งสภาพแวดล้อม ก็ย่อมส่งผลต่อตัวสถาปัตยกรรมด้วยเช่นกัน
การจะทำความเข้าใจในแนวทางการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมจากมรดกทางวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ในเวลาอันจำกัดนี้ คงต้องศึกษาผ่านตัวอย่างงานออกแบบ จึงจะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ในที่นี้ขอเลือกนำผลงานการออกแบบของ อาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร มาเป็นกรณีศึกษา เนื่องจากอาจารย์เป็นผู้สร้างสรรค์งานออกแบบโดยคำนึงถึงมรดกทางวัฒนธรรมเดิมอย่างเห็นได้ชัด งานที่เห็นผลลัพธ์ในการออกแบบดังกล่าวได้ดียิ่งชิ้นหนึ่งคือ “พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน”[12] โดยผลงานดังกล่าวเป็นงานออกแบบซึ่งอาศัยมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่น และประวัติศาสตร์ของพื้นที่ อันมีหลักฐานของศิลปกรรม ในสมัยทวารวดี เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำมาสู่การวางแนวคิดในการออกแบบของสถาปนิก

ภาพ : พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ สถาปนิก: วนิดา พึ่งสุนทร
การสร้างพระมหาธาตุเจดีย์องค์นี้มีประเด็นที่สำคัญของการออกแบบอยู่สองส่วนด้วยกันคือ ความต้องการให้เป็นศูนย์รวมใจทางพุทธศานาของพุทธศาสนิกชนชาวจันเสน และเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นรวบรวมศิลปะวัตถุสำคัญที่มีผู้นำมาถวายหลวงพ่อโอด(เจ้าอาวาสองค์ก่อนที่มีดำริสร้างพระธาตุเจดีย์) ภายหลังท่านสิ้นไป พระครูนิสสัยจริยคุณหรือหลวงพ่อเจริญ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันจึงได้สานต่อเจตนารมณ์จนงานชิ้นนี้สำเร็จลุล่วง[13] และนำไปสู่การพัฒนาวัดทั้งวัดอย่างเป็นระบบระเบียบ เรียบร้อย และกลายเป็นวัดต้นแบบของภาคกลางไปในที่สุด
การสร้างพระธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่โดยปกติ เป็นการสร้างขึ้นสำหรับระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา แลกระทำทักษิณาวัตร แต่ความต้องการที่ถูกกำหนดเพิ่มเติมนั้นทำให้การใช้สอยอื่น ๆ ถูกผนวกเพิ่มเข้ามาดังเช่น การมีพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนา การเก็บอัฏฐบริขารรวมถึงสมบัติวัตถุสำคัญของหลวงพ่อโอด และการเก็บรวบรวมศิลปวัตถุของชาวบ้านซึ่งได้นำมาถวายให้หลวงพ่อโอดเก็บรักษาไว้

ภาพ : ในห้องชั้นฐานของพระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสนมีพื้นที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งรวบรวมโดยหลวงพ่อโอด และภายหลังเมื่อชุมชนเห็นว่าจะมีการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ของชุมชนขึ้นจึงได้นำศิลปะวัตถุมามอบให้ทางวัดเพิ่มเติม
จากความต้องการในด้านการใช้สอยที่หลากหลายนี้ ทำให้เห็นได้ว่าการสร้างสรรค์พระมหาธาตุเจดีย์ มีความต้องการส่วนหนึ่งที่เป็นความต้องการอันเกิดจากชุมชน ส่วนที่เหลือสถาปนิกก็ทำหน้าที่ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ ตามหลักแห่งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งยังคงอาศัยปัจจัยต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับท้องถิ่นร่วมด้วย ทั้งเนื้อหาสาระของสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมที่มีความเชื่อมโยงนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
การออกแบบพระมหาธาตุเจดีย์นี้ออกแบบให้เป็นมณฑปยอดเจดีย์ตั้งอยู่บนฐาน ซึ่งยกชุดส่วนฐานให้สูงใหญ่เพื่อทำให้เกิดการใช้สอยภายใต้ฐานนี้ได้ โดยจะให้เป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สอยที่หลากหลาย ดังความต้องการที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ส่วนด้านบนที่เห็นเป็นมณฑปยอดเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ,พระพิมพ์ที่บรรจุไว้ในองค์ระฆังตอนบน ส่วนตอนกลางซึ่งเป็นห้องมณฑปมีหลวงพ่อนาคเป็นประธาน(เป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านให้ความเคารพมาก โดยได้จำลองจากองค์จริงที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะทำให้พระมหาธาตุเจดีย์องค์นี้เป็นศูนย์รวมใจของชุมชนได้ทั้งระดับทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป

ภาพ : แบบสถาปัตยกรรมแสดงรูปตัดให้เห็นที่ว่างและพื้นที่ใช้สอยในองค์พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน
รูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นอาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร สถาปนิกผู้ออกแบบได้มีแนวคิดที่จะสร้างสรรค์ขึ้นโดยอาศัยแรงบัลดาลใจจากศิลปกรรมสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นศิลปกรรมสำคัญของประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ดังปรากฏคูน้ำคันดินเป็นวงกลม,สระโบราณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะวัตถุหลายชิ้นที่หลวงพ่อโอดได้เก็บรวบรวมไว้ ทั้งนี้การศึกษารูปแบบศิลปกรรมจำเพาะแต่ที่ปรากฏในพื้นที่จันเสนไม่พบหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดนัก ทำให้ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในพื้นที่สำคัญอื่น ๆ ที่มีศิลปะร่วมสมัยเดียวกัน ผ่านตัวสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่เพียงฐานอาคารเป็นส่วนใหญ่และศิลปะวัตถุต่าง ๆ อาทิ ใบเสมา พระพิมพ์ เป็นต้น แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบต่อไป

ภาพ : พระพิมพ์ที่ปรากฏหลักฐานพอให้ได้ศึกษาลักษณะรูปแบบรายละเอียดของศิลปกรรม (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)
เราสามารถพิจารณาส่วนประกอบของอาคารออกเป็นสามส่วนสำคัญคือ ส่วนยอดเจดีย์ ส่วนเรือนธาตุเจดีย์ลงมา และส่วนฐานที่รองรับมณฑปด้วยชุดฐานขนาดใหญ่

ภาพ : แบบสถาปัตยกรรมรูปตั้งแสดงการแบ่งองค์อาคารออกเป็นสามส่วน
ที่มา: วนิดา พึ่งสุนทร,หน้าจั่ว ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ,กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2547,หน้า 50.
การออกแบบนี้ได้ผสมผสานศิลปกรรมปัจจุบันร่วมกับศิลปกรรมสมัยทวารวดี ซึ่งได้ทำการประดิษฐ์ดัดแปลงให้มีความเหมาะสมกลมกลืนกัน เช่นหากพิจารณาส่วนชั้นหลังคา(ยอดมณฑป) ที่เป็นเจดีย์ทรงระฆัง จะเห็นว่ามีปลียอดที่มีลักษณะแปลกตาจากที่เราเคยเห็นกันโดยทั่วไป เนื่องจากดัดแปลงมาจากทรงสถูปที่ปรากฏบนใบเสมาสมัยทวารวดี เป็นต้น ส่วนชั้นพื้นและชั้นฐานได้ทำการออกแบบเป็นลักษณะแบบแผนนิยมที่ทำกันในปัจจุบัน แต่จะมีลักษณะพิเศษตรงที่นำลักษณะช่องฐานที่ประดับรูปสัตว์หรือบุคคลที่ทำท่าแบกดังที่ปรากฏในฐานอาคารสมัยทวารวดีมาประดับบริเวณกึ่งกลางหน้ากระดานในด้านต่าง ๆ แทน นอกจากนั้นยังนำลักษณะดังกล่าวไปประดับในส่วนของฐานลายบานประตูด้วย

ภาพ : ซ้าย : ประติมากรรมปูนปั้นรูปบุคคลประดับส่วนฐานอาคารในสมัยทวารวดี (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)/ ขวา : งานออกแบบลายบานประตูส่วนทางเข้ามณฑปชั้นบนของพระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสนที่ออกแบบส่วนฐานลายเป็นรูปสิงห์แบก

ภาพ : ซ้าย : บริเวณกลางหน้ากระดานฐานปัทม์ ได้รับการออกแบบให้มีประติมากรรมนั่งแบกคล้ายลักษณะศิลปกรรมสมัยทวารวดี / ขวา : บริเวณช่องฐานปัทม์ที่ออกแบบให้เป็นช่องแสง โดยมีการทำลูกกรงกั้นเป็นลักษณะอกเลาแบบไทย
และโดยปกติส่วนฐานอาคารสมัยทวารวดีนั้น จะนิยมทำเป็นห้อง ๆ โดยมักจะปรากฏมีงานประติมากรรมในช่องเหล่านั้น แต่จะเห็นได้ว่า ส่วนที่เป็นฐานปัทม์ของเจดีย์องค์นี้ แม้จะได้ออกแบบให้มีลักษณะเป็นห้อง ๆ เช่นกัน แต่เป็นห้องที่ทำเป็นช่องกระจก เพื่อให้นำแสงธรรมชาติเข้าไปภายในส่วนฐานอาคารแทน
สิ่งนี้นับเป็นการสะท้อนถึงการนำระเบียบเดิมของมรดกทางวัฒนธรรม มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะแก่การใช้สอยในปัจจุบัน และดึงเรื่องราวที่เคยเล่าเรื่องต่าง ๆ ในห้องฐานนี้เข้าไปไว้ภายในแทน โดยไปปรากฏในส่วนของบริเวณคอสอง ที่เล่าเรื่องราวพุทธประวัติ โดยนำก้านธรรมจักรที่เป็นองค์ประกอบทางประติมากรรม มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งทางจิตรกรรม ซึ่งสะท้อนลักษณะสถาปัตยกรรมไปในมิติเวลาเดียวกัน เกิดการเล่าเรื่องที่ถูกแบ่งออกเป็นห้อง ๆ เฉกเช่นที่เคยปรากฏอยู่ที่ฐานอาคารทางด้านนอกของสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีนั้นเอง และลักษณะจิตรกรรมที่จิตกรเสกสร้างนั้นก็ดูประหนึ่งว่าจะนำพาเราเข้าไปในห้วงขณะเวลาแห่งทวารวดีสมัยได้จริงๆ

ภาพ : ซ้าย : พื้นที่ใช้สอยในลักษณะอเนกประสงค์และพิพิธภัณฑ์ในส่วนชั้นฐานองค์พระมหาธาตุเจดีย์ / ขวา : จิตรกรรมบริเวณคอสองของของพื้นที่ใช้สอยส่วนชั้นฐานองค์พระมหาธาตุเจดีย์
จุดเด่นที่ทำให้สถาปัตยกรรมชิ้นนี้เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ซึ่งเคยรุ่งเรืองในสมัยทวารวดีได้ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นศิลปะตกแต่งที่ประดับประดาในจุดต่าง ๆ อาทิ สิงห์ประดับทางขึ้นห้องมณฑป ที่เราไม่เคยพบเห็นที่ไหน มีแต่สิงห์สมัยทวารวดีเท่านั้นที่จะแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเช่นนี้ นี่คือตัวอย่างหนึ่งของความพยายามในการนำมรดกทางวัฒนธรรมเดิมมาใช้ ร่วมกับคติการสร้างสรรค์ในปัจจุบัน

ภาพ : ซ้าย : ประติมากรรมปูนปั้นรูปสิงห์ประดับฐานสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร) / ขวา : ประติมากรรมรูปสิงห์ประดับบริเวณบันไดทางขึ้นห้องมณฑปพระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหน้าบันปั้นลมของซุ้มมุขทั้งสี่ทิศโดยรอบตัวมณฑปนั้นสะท้อนถึงศิลปะสมัยทวารวดีอย่างเห็นได้ชัด อันจะเห็นได้จากลักษณะลายเครือเถา และจังหวะการวางลายต่าง ๆ เป็นต้น

ภาพ : ซ้าย : องค์ประกอบประดับสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีที่สามารถศึกษาลักษณะทางศิลปกรรมได้(พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร) / ขวา : หน้าจั่วปั้นลมของซุ้มประตูทางเข้าห้องมณฑปที่ประดิษฐานหลวงพ่อนาคปรกจำลอง
และในส่วนของยอดปั้นลม ที่ปัจจุบันมักทำเป็นลักษณะช่อฟ้า สถาปนิกได้ออกแบบเป็นรูปบุคคลแทน คือท้าวกุเวร ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่เราจะพบได้ในศิลปกรรมสมัยทวารวดี โดยสถาปนิกได้คิดประดิษฐ์แปลงจากของเดิมเสียใหม่ ให้กลายมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของยอดจั่วปั้นลมได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว

ภาพ : ยอดจั่วปั้นลมที่สถาปนิกออกแบบเป็นรูปบุคคลประกอบลาย
หากพิจารณาดูต่อไปก็จะพบเห็นความสร้างสรรค์ในการออกแบบ ที่นำมรดกทางวัฒนธรรเดิมมาใช้ในส่วนอื่น ๆ อีก ซึ่งหากท่านใดได้มีโอกาสแวะเวียนไปยังเมืองจันเสน ก็ขอเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมและสังเกตงานออกแบบชิ้นนี้กันอย่างพินิจพิเคราะห์ดูบ้าง
จากตัวอย่างงานครูข้างต้น เป็นกรณีศึกษาที่นำมาสู่การทดลองออกแบบที่อาศัยมรดกทางวัฒนธรรมชุมชนมาเป็นฐานรองรับ โดยสมมติให้เป็นการออกแบบพระอุโบสถในพื้นที่เขตเมืองโบราณดงแม่นางเมือง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยทวารวดีอีกแห่งหนึ่ง[14] ดังปรากฏหลักฐานซากโบราณสถานหลายแห่ง และโบราณวัตถุหลายชิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกดงแม่นางเมือง[15]
การศึกษารูปแบบศิลปกรรมในท้องถิ่นโดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรม พบเพียงซากฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยมเป็นส่วนใหญ่ และศิลปวัตถุยังอยู่ในส่วนที่รอการรวบรวมหลักฐานเพื่อนำไปสร้างพิพิธภัณฑ์ต่อไปในอนาคต จึงจำต้องอาศัยการศึกษาศิลปกรรมร่วมสมัยเดียวกันในท้องที่อื่นประกอบ สิ่งที่พบจากการศึกษาคือลักษณะเด่นของฐานอาคารสัมยทวารวดีมักจะยกเก็จหรือยกมุมออกมา จนเกิดช่องว่างเป็นห้อง ๆ ในพื้นที่ห้องนั้นอาจมีการประดับงานศิลปกรรมซึ่งเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในชาดก นอกจากนี้ยังพบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมในงานศิลปวัตถุสมัยทวารวดีหลายชิ้นที่เห็นลักษณะของซุ้มกุฑุ การออกลายแบบพันธุ์พฤกษา รวมทั้งการนำกลีบบัวมาใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชิ้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

ภาพ : ชิ้นส่วนงานศิลปกรรมในสมัยทวารวดี (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)
และยังพบรูปแบบซุ้มอาคารบนใบเสมาที่เมืองฟ้าแดดสูงยาง ทำให้เห็นได้ถึงทรวดทรง และจังหวะ ที่นำไปสู่การตัดสินใจออกแบบพระอุโบสถสำหรับเมืองโบราณดงแม่นางเมือง โดยอาศัยมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวแล้วนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้มีลักษณะการยกเก็จของผังพื้นอาคาร มีกรอบซุ้มทางเข้าหลักอาคารเป็นทรงกุฑุ และยื่นมุขเล็กในหลังคาชุดบนโดยได้ดัดแปลงให้สอดคล้องกับการใช้งาน และเหมาะสมกับการก่อสร้างในปัจจุบัน

ภาพ : ใบเสมาที่เมืองฟ้าแดดสูงยาง จ.กาฬสินธุ์ ที่ปรากฏลักษณะงานสถาปัตยกรรมเป็นรูปซุ้มประตู
นอกจากนี้หากสังเกตุดี ๆ จะพบว่ามีการนำเอาลักษณะกลีบบัวมาใช้ประกอบการออกแบบในส่วนตอนกลางของหลังคาเกือบตลอดทั้งแนว และมีจังหวะการวางลาย และองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ที่เชื่อมโยงกับศิลปสมัยทวารวดี ในหลายๆ ส่วนด้วยกัน กล่าวได้ว่า มรดกทางวัฒนธรรมเดิมคือแรงบันดาลใจที่ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้แก่งานออกแบบ ให้สะท้อนออกซึ่งบริบททางวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

ภาพ : แบบสถาปัตยกรรมรูปตั้งด้านหน้าและ รูปตั้งด้านข้างพระอุโบสถ วัดดงแม่นางเมือง ที่ทำการศึกษาทดลองออกแบบ โดยมีมรดกทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดีเป็นแนวคิดในการออกแบบบ (ประกิจ ลัคนผจง – งานวิทยานิพนธ์ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร)

ภาพ : หุ่นจำลองพระอุโบสถ วัดดงแม่นางเมือง ที่ทำการศึกษาทดลองออกแบบ จะเห็นได้ว่ามีการนำลักษณะผังอาคารแบบสมัยทวารวดีมาใช้ร่วมในการออกแบบด้วย
แม้ว่าตัวอย่างที่ยกมาอธิบายนี้จะเป็นงานทางด้านศาสนา แต่การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมประเภทอื่น เช่นอาคารที่ทำการ เรือนร้านค้า หรืออาคารอื่นใด ก็สามารถมองในลักษณะที่กล่าวไปแล้วนี้ได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป งานที่จะสร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยอาศัยมรดกทางวัฒนธรรมเดิมที่มีของชุมชน เป็นเรื่องที่ต้องมองอย่างรอบด้านทั้งการใช้สอย การก่อสร้าง ความงาม และการมีส่วนร่วมรู้สึกรักและภาคภูมิของทุก ๆคนในท้องถิ่น โดยในส่วนรูปลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นส่วนที่สำคัญที่เห็นได้ชัดเจน ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญ และแนวทางในการออกแบบที่น่าจะช่วยให้การทำงานมีระบบระเบียบและได้ผลลัพธ์ทางการออกแบบที่ดี อาจพิจารณาลักษณะสถาปัตยกรรมเดิมที่มีโดยมององค์อาคารออกเป็นสามส่วนสำคัญคือ ส่วนชั้นหลังคา ส่วนชั้นพื้น และส่วนชั้นฐาน ทั้งต้องพิจารณารายละเอียดในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะสำคัญในส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น และเชื่อมโยงสิ่งที่พิจารณาทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกัน เลือกสรรสิ่งที่ดีและเหมาะสม ให้เข้ากันกับการใช้สอยใหม่ในปัจจุบันให้ได้ ทั้งนี้ในกระบวนการต่าง ๆ หากชุมชนได้มีส่วนร่วมด้วยก็จะเป็นการสร้างพลังแห่งความภาคภูมิใจและนำไปสู่การร่วมรักษา ดูแล มีความสอดคล้องกลมกลืนกับท้องถิ่นทั้งรูปแบบและการใช้สอยอย่างแท้จริง นอกจากนี้สาระความหมายที่ซ่อนอยู่ในตัวสถาปัตยกรรมก็เป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบที่อยู่บนฐานของคติความเชื่อ หรือเกี่ยวข้องกับความเคารพศรัทธา มิเช่นนั้นอาจมีการนำองค์ประกอบหรือลักษณะบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความเคารพศรัทธานั้นมาใช้ในลักษณะที่ไม่เหมาะสมได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากผู้ออกแบบมีความรู้ความเข้าใจในสาระดังกล่าวเป็นอย่างดี ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการชี้เฉพาะถึงแนวทางพื้นฐานอันจะนำไปสู่การออกแบบงานสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ที่จะสืบสานคุณค่ามรดกเดิมที่ท้องถิ่นมี แต่มรดกทางสถาปัตยกรรมยังอาจมีในส่วนอื่น ๆ ที่อาศัยการจัดการในลักษณะการบูรณะปฏิสังขรณ์ หรือซ่อมแซม ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการจัดการบนพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจบนรากวัฒนธรรมเดิมทั้งสิ้น[16]
หวังว่าผู้ที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงจะพอมองเห็นแนวทางในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมใหม่บนรากฐานแห่งมรดกทางวัฒนธรรมเดิมได้บ้าง และมีความคิดที่จะธำรงมรดกเหล่านั้นไว้ ร่วมกับการสร้างสรรค์และสืบสานมรดกนั้นให้คงอยู่คู่กับชุมชนของตนสืบไป
[1] ศึกษาเพิ่มเติมได้ใน แนวทางการจัดการภูมิทัน์วัฒนธรรม. โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2549.
[2] ซึ่งสามารถจัดการได้สามลักษณะด้วยกัน ดูรายละเอียดได้ใน แนวทางการจัดการภูมิทัน์วัฒนธรรม. โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2549.
[3] สุภาพรรณ ณ บางช้าง ,งานวิจัยลำดับที่ 29 พุทธธรรมที่เป็นรากฐานสังคมไทย ก่อนสมัยสุโขทัย ถึงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2536,หน้า 37-44.
[4] สุลักษณ์ ศิวรักษ์, ใครคือชาวพุทธร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ,2544,หน้า 3-12.
[5] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน อนุวิทย์ เจริญศุภกุล, “อุบายไปสู่งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยจากรากวัฒนธรรมท้องถิ่น” ,อาษา.
[6] ปัจจุบันนี้มีนักวิชาการทั้งสายสถาปัตยกรรมและศิลปะเกี่ยวเนื่องได้นำเสนอผลงานทางวิชาการอันเนื่องด้วยคติการสร้างสรรค์อันผูกอยู่กับพุทธวัฒนธรรมอยู่มากมายหลายชิ้น.
[7] ซึ่งคุณค่าดังกล่าวนั้น อาจมีมากกว่าหนึ่งประการก็ได้ อาทิ คุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ คุณค่าทางด้านสังคม คุณค่าทางด้านศิลปกรรม คุณค่าทางด้านการศึกษา เป็นต้น
[8] หลักทฤษฎีทางด้านสถาปัตยกรรมที่ Vitruvius กล่าวถึงกว่าสองพันปีล่วงมากแล้ว อ่านเพิ่มเติมได้ใน ต้นข้าว ปาณินท์ “Theorizing Practice: Practicing Theory ภาษาสถาปัตยกรรม” , อาษา. มีนาคม ,2545.หน้า 104.
[9] ปรับปรุงจาก Bert Bielefeld and Sebastian El Khouli , Design Idea. Germany : Burkhauser, 2007, P.8.
[10] ศึกษาเพิ่มเติมได้ใน วนิดา พึ่งสุนทร, “ระเบียบวิธีและการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีในปัจจุบัน”หน้าจั่ว. ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ,กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2547.
[11] อ่านเพิ่มเติมใน ประกิจ ลัคนผจง “สถาปัตยกรรมไทย : การศึกษาเพื่อสืบสานและสร้างสรรค์” หน้าจั่ว.ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ฉบับที่ 5 ,กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2550.
[12]วัดจันเสน ตั้งอยู่ที่ ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ การทำงานออกแบบชิ้นนี้อาศัยความร่วมไม้ร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งพระ ฆราวาสในชุมชน นักวิชาการที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ ทั้งสถาปนิก วิศวกร นักโบราณคดี เป็นต้น
[13]ประกิจ ลัคนผจง ,“สถาปนิกหญิงแห่งชาติ” ,สูจิบัตรนิทรรศการสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจริญพระชนมายุครบ 50 พรรษา และครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด,2548,หน้า 282.
[14] ดูเพิ่มเติมได้ใน ประกิจ ลัคนผจง , วัดดงแม่นางเมือง. วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรมไทย ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2546.
[15] ปัจจุบันจารึกดงแม่นางเมือง เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร.
[16] ดูตัวอย่างการจัดการในลักษณะนี้ได้ใน เกรียงไกร เกิดศิริ ,ปงสนุก คนตัวเล็กกับการอนุรักษ์ .
ข้อมูล : ประกิจ ลัคนผจง
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน วารสารวิชาหน้าจั่ว ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ฉบับที่ 6 (กันยายน 2552-สิงหาคม 2553).
TAG: