สถาปัตยกรรมไทย คืองานอันเป็นศิลปะและวิทยาแห่งการก่อสร้างที่มีบริบททางวัฒนธรรมไทย ผสานเข้าเป็นส่วนเดียวกันกับงานออกแบบ ดังได้อธิบายถึงความหมายของ สถาปัตยกรรม ไว้แล้วอีกบทความหนึ่ง ซึ่งทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า สถาปัตยกรรมคืออะไร มีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง
สถาปัตยกรรมไทย ก็มีความหมายในลักษณะเดียวกัน แต่จะมีความโดดเด่นด้วยรูปแบบทางสถาปัตยกรรม ที่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า งานชิ้นนี้เป็นสถาปัตยกรรมในประเทศไทย (เนื่องจากสถาปัตยกรรม เป็นคำที่จำกัดความถึงงานออกแบบสร้างสรรค์ทางการก่อสร้างที่หมายรวมถึงสถาปัตยกรรมทุกชนิด และทุกวัฒนธรรมอยู่แล้ว)

โดยในสมัยก่อน นักเรียนสถาปัตยกรรมไทยจะทราบว่า สถาปัตยกรรมไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ
- สถาปัตยกรรมเนื่องในสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระราชวังต่างๆ เป็นต้น
- สถาปัตยกรรมเนื่องในศาสนา ได้แก่ วัดวาอารามต่างๆ เป็นต้น
- สถาปัตยกรรมเนื่องในการพักอาศัย ได้แก่ เรือนไทย หรือเรือนในภูมิภาคต่างๆ เป็นต้น
แต่ในปัจจุบัน อาจจะเพิ่มอีกประเภทหนึ่งคือ
4. สถาปัตยกรรมในอาคารสาธารณะ ได้แก่ อาคารราชการต่างๆ หรืออาคารเอกชน ที่มีความเกี่ยวเนื่องทางวัฒนธรรม ต่าง ๆเป็นต้น

ภาพ : พระบรมมหาราชวัง คืองานสถาปัตยกรรมไทยเนื่องในสถาบันพระมหากษัตริย์
จะเห็นได้ว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป การใช้สอยอาคารต่างๆ ในบ้านเราก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สถาปัตยกรรมไทย บางประเภท อาจลดบทบาทความสำคัญลงไป ในขณะที่สถาปัตยกรรมไทยบางประเภทมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็เนื่องมาจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป
สถาปัตยกรรมไทย ในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญทางสังคมของไทย โดยงานอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจไม่ได้มีการออกแบบก่อสร้างมากมายเช่นในสมัยก่อนแล้ว เนื่องจากเปลี่ยนไปตามสภาพการเมืองการปกครองในปัจจุบันที่ต่างไป แต่ สถาปัตยกรรมไทย ก็ยังคงได้รับการสืบสานและสร้างสรรค์ทางการออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานอันเกี่ยวเนื่องในศาสนา ที่ยังคงมีการออกแบบ และก่อสร้างพุทธศาสนสถานใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความคิดความเชื่อในทางบุญทางกุศลที่ชาวพุทธยังมีอยู่อย่างหนักแน่นและมั่นคง
สำหรับงานสถาปัตยกรรมไทยประเภทอาคารพักอาศัย ส่วนหนึ่งยังมีการสร้างเรือนไทยที่มีรูปแบบในลักษณะ สถาปัตยกรรมไทยแบบแผนสืบต่อมา (หรือที่นักวิชาการในวงการเรียกกันว่า สถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี) โดยเฉพาะลักษณะอาคารพักอาศัย ที่เป็นเหมือนบ้านตากอากาศหรือบ้านพักผ่อนหลังที่สอง แต่อาจมีการประยุกต์ในแง่ของการใช้พื้นที่ หรือการใช้งานให้มีความสะดวกสบายในการใช้สอยมากขึ้น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเข้ามา และจำเป็นต้องมีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแรงมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างแบบประเพณีเดิมของเรือนพักอาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนไทยภาคกลางแบบคลาสสิค ไม่สามารถรับแรงอันเนื่องมาจากเฟอร์นิเจอร์ ที่มีน้ำหนักมากกว่าแต่ก่อนได้ รวมถึงอาจต้องปรับเปลี่ยนรายละเอียดองค์ประกอบบางส่วนเพื่อให้มีบรรยากาศที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันให้มากขึ้น
แต่ทั้งนี้บ้านพักอาศัยในปัจจุบันหลายแห่ง ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกที่มีความสนใจในการนำเอกลักษณ์ในงานสถาปัตยกรรมไทย ในกลุ่มเรือนไทย หรือเรือนพักอาศัยแบบไทยเดิม มาประยุกต์สร้างสรรค์ โดยแรกเริ่มอาจเกิดจากการหยิบยืมรูปแบบมาลดทอน ปรับแต่ง และต่อมาก็มีการนำลักษณะความเป็นไทยในเชิงบรรยากาศ ความรู้สึก หรือประเด็นใดๆ ในงานสถาปัตยกรรมไทยแบบเดิม มาหาแนวทางในการออกแบบที่ร่วมสมัยมากขึ้น โดยอาศัยบริบททางสังคมปัจจุบันมาเป็นปัจจัยสำคัญในการคิดออกแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยและการใช้งาน หรือพฤติกรรมการใช้สอยแบบใหม่ๆ
อาคารพักอาศัยประเภทหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยอย่างโดดเด่น คือ อาคารพักอาศัยที่ได้รับการออกแบบในเชิงการท่องเที่ยว จำพวกโรงแรมรีสอร์ต ซึ่งมักจะประยุกต์รูปแบบความเป็นไทยเข้าไปร่วมกับรูปแบบและโครงสร้าง ของงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมไทย ในลักษณะประยุกต์ ที่น่าสนใจ
ส่วนอาคารสาธารณะ ในงานสถาปัตยกรรมไทย แรกเริ่มจะเป็นอาคารที่ใช้ในทางราชการ ในช่วงที่มีการรับวัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามา ปรับรูปแบบการบริหารบ้านเมือง ให้มีหน่วยราชการและจำเป็นต้องมีอาคารใช้งานในเชิงสาธารณะ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่รูปแบบประชาธิปไตย และขยายขอบเขตการทำงานออกไปเป็นหลายส่วนหลายหน่วยงาน จนต้องมีการสร้างอาคารสาธารณะแบบใหม่ๆ และช่วงหนึ่งอาคารสาธารณะที่บริเวณถนนราชดำเนินนอก ก็ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะงาน สถาปัตยกรรมไทย อย่างชัดเจน เป็นรูปแบบที่เรียกกันว่าเป็น สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ (ซึ่งนับเป็นรูปแบบของ งานสถาปัตยกรรมไทย ประเภทหนึ่งในอีกหลายประเภท)
สถาปัตยกรรมไทย ที่เรียกว่าประยุกต์นั้น คืองานที่มีการออกแบบโดยรักษาลักษณะอันแสดงถึงความเป็นไทยให้ยังปรากฏกลิ่นอายอยู่ เช่น ทรงหลังคาแบบไทยที่มีองค์ประกอบจำพวก ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ที่มีอยู่ในงานศาสนสถาน จำพวก โบสถ์ วิหาร หรือทรงหลังคาแบบไทยที่เป็นจั่วปั้นลมตัวเหงา แบบเรือนไทยภาคกลางคลาสสิค (หรือภาคกลางแบบมาตรฐาน) นับได้ว่าเป็นงานออกแบบที่อาจสื่อความหมายได้ง่าย และตรงตัวที่สุด หากต้องการให้อาคารมีลักษณะไทย
งานสถาปัตยกรรมไทยในภายหลัง มักมิได้หยิบรูปแบบมาใช้โดยตรง หรือลดทอนรูปแบบให้เรียบง่ายดังเช่นที่มีมาในช่วงเร่งสร้างอัตตลักษณ์ของชาติอย่างที่เป็นบนถนนราชดำเนินนอกแล้ว สถาปนิกมักแสวงหาแนวทางในการออกแบบ ผ่านประสบการณ์ และการเรียนรู้พัฒนาการของงานสถาปัตยกรรมที่มีในต่างประเทศ รวมถึงระบบความคิดและการออกแบบในโลกยุคไร้พรหมแดนที่ได้ถูกนำมาบูรณาการทางความคิด ร่วมกับวัตถุดิบทางวัฒนธรรมที่มีของบ้านเราเอง จนเป็นสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย ที่ได้รับการออกแบบด้วยวิธีการใหม่ๆ
สรุปแล้วรูปแบบงานสถาปัตยกรรมไทยอาจแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกัน
- สถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี คำเรียกที่ใช้ในงานเอกสารการสอน หรืองานวิชาการ-แม้อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงตัวงานตามความหมายอย่างที่ควรเป็น แต่ก็เป็นคำที่เข้าใจตรงกันว่า เป็นงานในเชิงการรักษารูปแบบเดิม หรือพัฒนาการไปในการรักษารูปแบบ โดยมากคือกลุ่มสถาปัตยกรรมประเภท วัดวาอาราม หรือเรือนไทยเดิม
- สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ เป็นงานที่ลดทอนรูปแบบที่มีความละเอียดประณีต ทางศิลปกรรม ในงานแบบประเพณีลง ให้ได้ผลทางการออกแบบเพียงลักษณะไทย เกิดขึ้นเนื่องจากวัสดุในการก่อสร้างสมัยใหม่ อันได้แก่งานคอนกรีต เป็นแรงผลักดัน ต่อรูปแบบดังกล่าว แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า งานคอนกรีตจะทำงานแบบไทยประเพณีไม่ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบจะคิดเห็นและสร้างสรรค์ผลงานไปในทิศทางที่เหมาะสม
- สถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย เป็นงานออกแบบที่มองถึงแนวความคิดในการออกแบบเป็นสำคัญ เข้าใจว่างานกลุ่มนี้เกิดขึ้นจาก ระบบการเรียนสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการคิดสร้างสรรค์ ทำให้เกิดรูปแบบทางสถาปัตยกรรมไทยใหม่ๆ ที่ต่างไปจากสองแบบข้างต้น เน้นที่มาทางความคิดที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่การออกแบบ โดยต้องการแสวงหาผลลัพธ์ใหม่ ที่สร้างสรรค์มากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งรากฐานบางอย่างทางไทย เป็นแก่นแกนภายในของงานออกแบบ
ทั้งสามแบบข้างต้น ถือเป็นตัวแทนทางด้านรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมไทย ที่มีมายาวนานหลายทศวรรษแล้ว หากการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยที่มีในปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่า อาจมีรายละเอียดปลีกย่อย ที่อาจแยกออกไปจากสามแบบที่มีมาแล้วข้างต้นก็เป็นได้
ที่กล่าวมาข้างต้นคงพอทำให้เข้าใจแล้วว่า สถาปัตกรรมไทยคืออะไร และสถาปัตยกรรมไทย เกิดจากการทำงานของ สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย จึงขอแถมอีกนิดว่า
สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยบางท่าน ทำงานในแบบไทยประเพณี แต่ตัวงานได้รับการคิดอย่างร่วมสมัยผ่านเทคนิคการออกแบบที่ว่าง ผ่านระบบโครงสร้างที่ทันสมัย หรือดึงเอาลักษณะการใช้งานแบบใหม่ๆ เข้าไปผสมผสานในงานออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็อาจทำให้งานชิ้นนั้นเป็น “สถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีร่วมสมัย” ได้ เพราะดูด้วยตาอาจมองไม่ออก ต่อเมื่อดูด้วยปัญญาให้ลึกเข้าไปในระบบการคิดออกแบบจึงเห็นว่ามีพัฒนาการไปไกลกว่างานแบบประเพณีแล้ว
สถาปัตยกรรมเป็นผลผลิตทางความคิดของสถาปนิก สถาปัตยกรรมไทยก็เป็นผลผลิตของสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย การพิจารณาแยกแยะว่าสถาปัตยกรรมไทยจะได้รับการออกแบบด้วยสถาปนิก หรือสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยอาจไม่สามารถทำได้ชัดเจนในกลุ่มงานออกแบบโดยทั่วๆ ไป ที่ต้องการเพียง “ลักษณะไทย”
ต่อเมื่องานออกแบบชิ้นนั้น มีรูปแบบอยู่ในขอบเขตของงานสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี หรือแบบประเพณีร่วมสมัย(ดังที่ผู้เขียนคิด) จึงจำเป็นต้องใช้สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งจะมีทักษะในการเขียนไทยแบบช่างเขียน
ช่างเขียนที่ว่านี้มิใช่ช่างจิตรกรรม เพราะจิตรกร ทำงานเป็นอิสระส่วนบุคคล ส่วนสถาปนิกทำงานภายใต้ภาระรับผิดชอบหลายประการ ตอบสนองความต้องการเชิงสังคมส่วนรวม และส่วนที่ยากที่สุดของการเป็นสถาปนิก คือการเข้าถึงงานออกแบบในลักษณะมิติสัมพันธ์ และบูรณาการทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ อันเป็นไปในทำนอง “สถาปนิก+ช่างไทย” เป็นผู้ทำงานออกแบบ เพราะหากเป็นสถาปนิกในระบบการเรียนรู้ปกติ ก็จะไม่สามารถเขียนแบบ ในทำนองช่างไทยได้ และยิ่งงานในแบบประเพณีด้วยแล้ว ต้องเขียนลายไทย และองค์ประกอบในงานสถาปัตยกรรมไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่ต้องเขียนเหล่านี้ ก็มักจะมีความจำเพาะตัวของแต่ละคน ราวกับศิลปินหรือจิตรกรที่มีเอกลักษณ์ในทางศิลปะเป็นแบบจำเพาะตน กล่าวคือ มีลายมือเป็นแบบจำเพาะของแต่ละคนไป นี่จึงทำให้ งานสถาปัตยกรรมไทยในลักษณะประเพณี เป็นงานที่หาคนทำได้ยาก สถาปนิกทั่วไปที่จะสามารถทำได้ จำเป็นต้องฝึกเขียนไทยไปอีกหลายปี จึงจะสามารถออกแบบและเขียนงานในลักษณะนี้ได้
ยิ่งงานสถาปัตยกรรมไทยในปัจจุบัน อาจต้องรับใช้สังคมในลักษณะอาคารสาธารณะแบบใหม่ๆ ที่ต่างไปจากอดีตอย่างมากด้วยแล้ว ความเป็นสถาปนิกที่ต้องมีอยู่ในตัวช่างเขียนไทย จึงสำคัญมาก
.
เป็นสถาปนิกอย่างเดียว ก็ทำได้เพียงสั่งให้คนอื่นมาเขียนให้ เพราะทำงานศิลปกรรมด้วยตนเองไม่ได้
เป็นช่างเขียนไทยอย่างเดียว ก็ทำได้เพียงเขียนไทยได้สวยงาม แต่ไม่เข้าใจในมิติความคิดทางสถาปัตยกรรม
.
นี่จึงเป็นเหตุให้งานสถาปัตยกรรมไทย โดยเฉพาะงานแบบประเพณี ที่ต้องอาศัยศิลปกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสรรค์รูปแบบ และใช้เป็นเครื่องสื่อประสาทสัมผัสของผู้ใช้งาน ทำให้ต้องยืนสองขาในศาสตร์วิชาที่ค่อนข้างยากทั้งคู่
แต่ครูอาจารย์ในงานสถาปัตยกรรมไทย ก็ได้ทำให้เห็นแล้วว่า การเรียนรู้สู่การเป็นสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยแม้จะยาก แต่ก็ไม่เกินความพยายาม
(ปรับปรุงเนื้อหาเมื่อ 13 สิงหาคม 2568)


ภาพ : สถาปัตยกรรมไทย กับองค์ประกอบที่งดงาม ซึ่งสถาปนิกผู้ออกแบบต้องเขียนลายไทยได้ จึงจะสามารถนำความคิดไปสู่มือ และปรากฏเป็นแบบสำหรับการก่อสร้างได้ในที่สุด
TAG:

